ใครๆ ก็บอกว่าทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่จะจัดสรรอย่างไรให้ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ เมื่อปัจจัยรอบข้างไม่เหมือนกัน ก็ทำให้เวลาของแต่ละคนไม่ได้มี 24 ชั่วโมงเท่ากันอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกรุงเทพฯ ที่คุณภาพของการเดินทางทำให้จัดการเวลาอะไรใดๆ ไม่ได้เลย ช่วงเวลาที่อยู่บ้านก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งคุณภาพ เพราะแทนที่จะได้พักผ่อนกลับมาต้องทำงานบ้านไปอีก
หลายคนจึงยืนยันแบบไม่ได้อ้างว่า “ไม่ได้ขี้เกียจทำงานบ้าน แต่แค่ไม่มีเวลาต่างหาก” เมื่อมีปัญหาก็ย่อมมีทางแก้ ไหนๆ เราก็ก้าวเข้าสู่ยุคของ IoT (Internet of Things) ทั้งที เรื่องเวลาก็คงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเชื่อมต่อกันโดยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ก็สามารถทำทุกอย่างได้ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ จากบ้านธรรมดาๆ ก็มีคำว่า Smart เติมเข้าไป กลายเป็น Smart home อะไรๆ ก็ง่ายดายและสะดวกสบายขึ้น
ลองไปดูกันว่า IoT จะทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น และจัดการเวลาอย่างเป็นระบบได้อย่างไร
Smart home ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่คือการพัฒนามาตั้งแต่ยุคก่อน
คำว่า Smart home อาจจะเป็นศัพท์ใหม่ที่เราเพิ่งได้ยินมาไม่นานนี้ เพราะคำว่า Smartphone เองก็เพิ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายไม่ถึงสิบปีมานี้เช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1923 สถาปนิกชาวสวิส Le Corbusier หนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมยุคใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า “A house is a machine for living in,” หรือบ้านคือเครื่องจักรสำหรับอยู่อาศัย เพราะสิ่งประดิษฐ์อย่าง เครื่องดูดฝุ่นไฟฟ้าเครื่องแรกของโลก เกิดขึ้นในปี 1901 ตามมาด้วย เครื่องซักผ้าไฟฟ้า ในปี 1904 ได้เปลี่ยนการใช้ชีวิตในบ้านของมนุษย์ให้สะดวกสบายมากขึ้น
และเพียงแค่ไม่กี่สิบปีถัดมาหลังจากนั้น เมื่อพลังงานไฟฟ้ากลายเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านทุกอย่างก็ถูกคิดค้นขึ้นมาด้วยไอเดียเดียวกัน นั่นคือช่วยลดภาระต่างๆ หรือช่วยทุ่นแรง รวมถึงทำให้มนุษย์เราอยู่ในบ้านอย่างสะดวกสบายมากขึ้น ทั้งเตารีด เครื่องล้างจาน ตู้เย็น แอร์ ฯลฯ ลองนึกถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าระบบออโต้ทั้งหลาย แม้จะกดด้วยมือ แต่ก็ทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่ระบบแมนนวล ตั้งระดับ โหมดการทำงานต่างๆ ได้ หรือตั้งเวลาให้ทำงานตามต้องการได้หมด เรียกว่าเขยิบเข้าใกล้กับคำว่าเครื่องจักรสำหรับอยู่อาศัยอย่างที่พี่เขาบอกไว้จริงๆ คำว่า smart home จึงไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่คือการพัฒนามาตั้งแต่ร้อยปีก่อนนู่นแล้ว
ทุกอย่างง่ายขึ้นและประหยัดขึ้นด้วย IoT
กระโดดมาถึงยุคที่ IoT (Internet of Things) เข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างถูกเชื่อมเข้าหากันหมดด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแทบทุกอย่างกลายเป็น Smart device อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่ง IHS ผู้ให้บริการข้อมูลระดับโลกคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2025 จะมี Smart device เชื่อมต่อกันมากถึง 75,000 ล้านเครื่อง! ด้วยเทคโนโลยี IoT ทำให้ไม่ว่าอยู่ที่แห่งหนไหนบนโลกก็สามารถเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์เข้าหากันได้หมด
การเกิดขึ้นของ IoT นั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของเราไปอย่างมาก ขนาดที่นิตยสาร Forbes ยกให้การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ทุกอย่างไปสู่การเป็น Smart device เป็นหนึ่งใน Mega Trends เปลี่ยนโลกแห่งปี 2018 ลองนึกเล่นๆ ว่าทุกวันนี้เราใช้ Smartphone ทำอะไรได้บ้าง เรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ ซึ่งโยงไปถึงเรื่อง Smart home ที่กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่บรรดาบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เลือกที่จะลงทุนและพัฒนาให้ลูกค้าอย่างเราๆ ได้สัมผัสกับนวัตกรรมแห่งความสะดวกสบายนี้อย่างไม่หยุดยั้ง แถมเครื่องใช้ไฟฟ้ายุคใหม่ยังประหยัดพลังงานมากกว่ารุ่นเก่าๆ สบายแล้วยังประหยัดอีกด้วย
ไม่มีเวลา ไม่อยู่บ้าน IoT ช่วยได้
แม้การเกิดขึ้นของ Smart home จะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้มนุษย์เราๆ สบายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อาจทำให้ใครหลายคนสงสัยว่า เราจำเป็นต้องขี้เกียจขนาดนั้นไหม เอาเข้าจริงๆ หนึ่งในจุดประสงค์ของ Smart home ที่คิดค้นขึ้นมาก็เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุหรือผู้พิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่าง Google Home หรือ Amazon Echo ที่เปลี่ยนบ้านให้มีชีวิตด้วย AI ล้ำๆ ที่พร้อมรับคำสั่งของเราตลอดเวลา จะสั่งเปิดปิดไฟในบ้าน เปิดทีวีดูหนัง ปรับแอร์ให้เย็นขึ้น เพียงแค่เอ่ยปากพูด โดยที่ตัวเราไม่ต้องขยับตัวไปไหนเลย แถมอนาคตอาจยังพัฒนาไปถึงขั้นเป็น Intelligent Things หรือสิ่งของที่ไม่ได้ทำงานตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ตายตัว แต่พัฒนาตามการเรียนรู้ของ AI ที่ประมวลผลจากการทำงานที่ผ่านๆ มา จนเราไม่ต้องสั่งการทุกอย่างเองเลยก็เป็นได้
และอีกหนึ่งฟังก์ชันของ Smart home ก็ได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์คนไม่มีเวลา โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องเสียเวลาไปกับการทำงานและใช้ชีวิตนอกบ้าน ซึ่งปัจจัยเรื่องของเวลาในการเดินทางก็ทำให้บริหารเวลาอะไรไม่ได้เลย เวลาที่มี 24 ชั่วโมงเท่ากันก็อาจไม่พอสำหรับคนกรุงเทพฯ เดี๋ยวรถไฟฟ้าเสีย เดี๋ยวรถติด หรือโอทีเข้าแบบไม่ทันตั้งตัว จนบางครั้งก็ทำให้ลืมจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน อย่างเช่นไม่มีเวลาซักผ้า ไม่มีเวลาดูดฝุ่น หรือรีบออกจากบ้านจนลืมปิดแอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยนี้จึงสามารถต่อสัญญาณ Wifi พร้อมรับคำสั่งเราด้วยเทคโนโลยี IoT ผ่านหน้าจอ Smartphone ทำให้สามารถสั่งการทุกอย่างได้ โดยที่ตัวเราไม่ได้อยู่บ้านด้วยซ้ำ
ลองสัมผัสกับความล้ำของ IoT กับเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก LG เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Smart ThinQ™ ที่มีหน้าตาการใช้งานที่เรียบง่าย สามารถใช้งานร่วมกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของ LG ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะ LG TWINWash™ ที่มาพร้อมกับระบบถังซักผ้าแบบคู่ ช่วยประหยัดเวลาด้วยการซักผ้าจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ตู้เย็น LG InstaView Door-in-Door™ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเตรียมมื้อค่ำผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายดาย เช่น ฟีเจอร์ให้ความเย็นอย่างรวดเร็ว (Express Freeze) ช่วยให้อาหารและเครื่องดื่มเย็นทันใจ หรือจะเป็น เครื่องดูดฝุ่น LG HOM-BOT WIFI หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่สามารถตั้งโปรแกรมให้ดูดฝุ่นอัตโนมัติได้ทันที โดยที่ตัวเราเองไม่ต้องอยู่บ้านด้วยซ้ำ
ความล้ำทั้งหมดนี้สามารถสั่งการทุกอย่างได้ผ่านหน้าจอ Smartphone เพียงเครื่องเดียว จะตั้งโปรแกรมใช้งาน ปรับรูปแบบการทำงาน หรือตั้งเวลาเปิดปิดก็ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าเมื่อไรก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา แถมเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อจดจำพฤติกรรมและข้อมูลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เพื่อคาดการณ์ความต้องการของเราได้อย่างแม่นยำมากขึ้นในอนาคต
เปลี่ยนช่วงเวลาที่เหลือให้มีคุณภาพ โดยไม่ต้องกังวลกับภาระต่างๆ ในบ้านอีกต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.explainthatstuff.com/smart-home-automation.html
https://www.forbes.com/sites/bernardmarr/2017/12/04/9-technology-mega-trends-that-will-change-the-world-in-2018/#715c25ed5eed