โลกทุกวันนี้กำลังก้าวสู่สังคมดิจิทัล เราเห็นสตาร์ทอัพที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่นวัตกรรมเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากภาครัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงผู้ประกอบการเอง เพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในวงกว้าง
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สิงคโปร์ ได้จัดงาน ‘Smart Nation Innovations Week’ งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดงานที่เปิดพื้นที่ให้บริษัทผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมมาร่วมพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน
The MATTER ได้มีโอกาสคุยกับ Daniel Seal CEO ของบริษัท Unbound ที่มีเครือข่ายที่เข้มแข็งและสามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่กล่าวมาข้างต้นเข้าด้วยกันเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน รวมไปถึงการเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ‘Innovfest Unbound’ ที่สิงคโปร์เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2561 มาพูดคุยถึงความสำคัญในการร่วมมือระหว่างธุรกิจและสตาร์ทอัพ และนิยามของคำว่า Smart Nation ในมุมมองของเขา
อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณก่อตั้งบริษัท Unbound ขึ้นมา
แรงบันดาลใจของผมในการสร้าง Unbound ขึ้นมา เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน ในยุคที่โลกของเรากำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างติดต่อกันผ่านโลกดิจิทัลหรือโลกออนไลน์มากขึ้น แต่ผมมองว่า
เราก็ยังควรต้องมีปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้ากันอยู่ สิ่งสำคัญคือการทำให้คนได้พบเจอ ได้พูดคุยกัน เพราะการได้พูดคุยกันตัวต่อตัว ย่อมสร้างความแตกต่างและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการส่งอีเมลอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับผมการจัดงานอีเวนต์และพบปะผู้คนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันลดช่องว่าง ทำให้คนใกล้ชิด และสร้างโอกาสในการร่วมมือได้ง่ายขึ้น การที่ Unbound สร้างอีเวนต์อย่าง นิทรรศการนวัตกรรม (Innovation Festival) ขึ้นมาก็เพื่อเชื่อมโยงภาครัฐ อุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ และสตาร์ทอัพเข้าด้วยกัน ประสานการทำงานระหว่างนวัตกรรมระดับรากหญ้าและเทคโนโลยีของบริษัทชั้นนำ เพื่อให้เกิดการร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย
คุณมองว่า Unbound จะช่วยพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้เติบโตได้อย่างไรในอนาคต
เราต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดมากขึ้นเท่าที่เราจะทำได้ เป้าหมายของผมคือต้องการเห็น Unbound เกิดขึ้นทั่วโลก ในหลายเมือง หลายภูมิภาคทั่วโลก เพราะในแต่ละที่ก็มีสตาร์ทอัพที่พัฒนานวัตกรรมอันหลากหลายอยู่แล้ว การได้เห็นการร่วมมือกันก็น่าจะช่วยให้การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายในอนาคต
ทำไมการพัฒนานวัตกรรมถึงต้องอาศัยการร่วมมือกัน
ถ้าคุณมีธุรกิจสตาร์ทอัพ การระดมเงินลงทุนเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากในการทำธุรกิจ รวมไปถึงการสร้างคอนเน็กชันก็สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างถ้าคุณเป็นสตาร์ทอัพเกี่ยวกับอาหาร คุณก็จำเป็นต้องพบกับบริษัทอย่าง Unilever หรือถ้าคุณเป็นสตาร์ทอัพเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบิน คุณก็จำเป็นต้องพบกับสายการบินอย่าง Air Asia ซึ่งการได้พบเจอกับบริษัทเหล่านี้ เป็นอะไรที่สำคัญกว่าการได้เจอนักลงทุนมาก เพราะเขาสามารถนำเอาโปรดักต์ของคุณไปพัฒนาต่อได้เลย ดังนั้นการร่วมมือเหล่านี้จึงทำให้ธุรกิจมีโอกาสสำเร็จสูง และการดำเนินธุรกิจยั่งยืนต่อไปได้
ในโลกตอนนี้แทบทุกอย่างถูก disrupt ด้วยดิจิทัล คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อให้การพัฒนานวัตกรรมสำเร็จต่อไปในอนาคตได้
ผมนิยามไว้ว่ามันคือ ‘วิวัฒนาการสู่ความเป็นดิจิทัล’ คือการที่บริษัทเราตระหนักได้ว่า การดำเนินธุรกิจด้วยวิธีดั้งเดิม มันอาจไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน อะไรที่เคยทำได้ มันไม่สามารถประสบผลสำเร็จเหมือนได้เดิมแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักปรับตัว เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดภายใน แค่พูดว่าอยากทำงานกับสตาร์ทอัพอย่างเดียวมันไม่มีประโยชน์ ต้องเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร นี่คือการวิวัฒนาการสู่ความเป็นดิจิทัล อย่างนวัตกรรมในอนาคตที่น่าจับตา ตอนนี้เราเห็นการเติบโตอย่างมากของ Deep Tech (เทคโนโลยีชั้นสูง) เช่น AI, Deep Science, Block chain ซึ่งก็ยังมีบางเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ในตอนนี้ แต่ผมเชื่อว่าเราจะเห็นการเติบโตและพัฒนาต่อไปในอนาคตได้ สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงและลงมือทำ
ทำไมถึงเลือกจัดงาน Innovfest Unbound ที่สิงคโปร์ คุณมองเห็นโอกาสอะไร
สิ่งที่ผมประทับใจเกี่ยวกับสิงคโปร์ คือการที่ในทุกๆวัน รัฐบาลและภาคธุกิจร่วมมือกันพัฒนาสิงคโปร์ โดยการสร้างงาน และทำให้ประเทศน่าอยู่ขึ้นสำหรับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอวิธีชำระเงินรูปแบบใหม่ หรือระบบขนส่งที่ล้ำสมัย พวกเขาคำนึงถึงอนาคตเสมอ และเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนระยะยาวที่จะช่วยให้สิงคโปร์พัฒนาต่อไปได้ไม่สิ้นสุด สิงคโปร์จึงเป็นประเทศที่ดีมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่มีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะการเป็นผู้นำเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ และรัฐบาลที่มีแนวคิดก้าวหน้า ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของความร่วมมือและการทำธุรกิจ สิงคโปร์จึงเป็นเหมือนจุดที่เชื่อมต่อโอกาสและเป็นจุดศูนย์กลางที่สามารถดึงนักธุรกิจจากทุกมุมโลกให้เข้ามาร่วมมือได้ เพราะฉะนั้นการจัดอีเวนต์ในสิงคโปร์จึงแตกต่างจากลอนดอนหรือไมอามี่ สิ่งสำคัญคือเราพยายามจะพัฒนานวัตกรรมให้เกี่ยวข้องกับตลาดท้องถิ่นของผู้คนที่นี่ด้วย จึงเลือกสิงคโปร์เป็นเวทีสำหรับจัดแสดงนวัตกรรม
ในขณะที่สิงคโปร์กำลังยกระดับประเทศให้กลายเป็น Smart Nation คุณมองว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนานี้สำเร็จได้
การผลักดันประเทศให้เป็น Smart Nation ของสิงคโปร์ ปัจจัยสำคัญคือการสร้างงานและโอกาสให้กับผู้คนในทุกๆ ภาคได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลที่ต้องคิดก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ โดยยกระดับความเป็นอยู่ให้เป็นสังคมดิจิทัล มีเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการลงทุนด้านเทคโนโลยี มีรัฐบาลที่คอยสนับสนุน รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
นอกจากนั้นคือการเปิดรับมุมมองที่หลากหลายทั้งจากงานวิจัยของรัฐบาลและสถาบันการศึกษาที่ต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศก้าวหน้าและเติบโตไปสู่ยุคดิจิทัล กลายเป็นประเทศที่ Smart อย่างแท้จริง