คนรักหนังคงชอบเที่ยวตามรอยหนัง คนรักไอดอลก็คงชอบเที่ยวตามรอยไอดอล แล้วคนรักความเร็วจะเที่ยวตามอะไร?
คำตอบก็คือเที่ยวตาม Drift Destinations ยังไงล่ะ! ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมสนามแข่งระดับโลก ถนนหนทาง หรือสถานที่ต่างๆ ที่เคยมีการแข่งรถเกิดขึ้น ในโอกาสนี้เราขอนำเสนอ 5 จุดหมายปลายทางแห่งการดริฟต์ที่มีธรรมชาติสวยงาม ให้คุณๆ ได้เก็บไว้เป็น Bucket List ในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งต่อไป
What is drifting?
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ดริฟต์’ หลายคนคงนึกถึงภาพยนตร์แอ็คชั่นชุด The Fast and the Furious ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่าขาซิ่งผู้รักการแข่งรถบนท้องถนน แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วการดริฟต์คืออะไรกันแน่?
การดริฟต์คือการเข้าโค้งด้วยเทคนิค ‘โอเวอร์สเตียร์’ (Oversteer) นั่นคือการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะทำให้ล้อหลังหลุดจากถนน และท้ายรถสะบัดออกไปแซงหน้ารถ นักดริฟต์ที่ดีต้องควบคุมพวงมาลัยได้ โดยหมุน ‘เคาท์เตอร์สเตียร์’ (Countersteer) ไปอีกทาง เพื่อประคองไม่ให้รถเสียหลักนั่นเอง
Imperial Sand Dunes, US
Imperial Sand Dunes คือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรถยนต์ใดก็ตามที่มีใบอนุญาตสามารถเข้าไปวิ่งได้ทั้งหมด (แม้กระทั่งรถทั่วไปที่ถูกดัดแปลงล้อให้เหมาะกับทรายก็ถือว่าใช้ได้) ดังนั้นผู้คนนับพันจึงหลั่งไหลไปชมการแข่งขันหรือร่วมสนุกกับการแข่งรถประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น UTV, OTV หรือ sand rail ภาพขบวนรถทะยานไปข้างหน้าท่ามกลางฝุ่นทรายสีทองจึงเป็นภาพที่พบเห็นได้จนชินตา ณ ทะเลทรายแห่งนี้
Tianmen Mountain, China
หุบเขา Tianmen Mountain แห่งมณฑลหูหนาน ประเทศจีนเป็นที่รู้จักในฐานะ Drift Destination ที่ทั้งสวยงามและอันตายเป็นที่สุด เพราะถนน Tongtian ที่จะนำพาเราขึ้นไปสู่ยอดเขานั้นทั้งยาวเหยียด คดเคี้ยว และสูงชั้นเป็นที่สุด เพราะตลอดความยาวกว่า 11 กิโลเมตรของถนนเส้นนี้มีโค้งหักศอกรออยู่มากถึง 99 โค้ง และด้านหนึ่งของถนนก็เป็นหน้าผาซึ่งไต่ระดับจาก 200 เมตรเหนือน้ำทะเลไปจนถึง 1,300 เมตรเหนือน้ำทะเล หากสูญเสียการควบคุมรถแม้เพียงนิดเดียวก็อาจตัดสินเป็นตายได้เลยทีเดียว แต่ถึงจะเสียวขนาดนี้ก็เคยมีรายการแข่งรถใช้หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน และเมื่อปีที่แล้วนักแข่งรถชาวอิตาลี Fabio Barone เคยท้าทายยมทูตด้วยการดริฟต์ 99 โค้งใน 11 กิโลเมตรภายในเวลา 10 นาที 31 วินาที เรียกว่าทุบสถิติโลกกันไปเลย
Bonneville Salt Flats, US
ถ้าเบื่อสีเหลืองทองของทะเลทรายแล้ว เราขอแนะนำให้ไปเยี่ยมชมทะเลเกลือที่เหยียดยาวเป็นสีขาวสุดลูกหูลูกตาอย่าง Bonneville Salt Flats ในรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน Bonneville Speed Week เป็นประจำในเดือนสิงหาคมของทุกปี โดยรายการนี้จะแบ่งสายเป็นการรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ตามระดับแรงม้า ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นนักแข่งรถได้โดยต้องสมัครสมาชิก Bonneville National Inc. ($75) และสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ($525-725) ไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็เป็นความฝันของคนรักความเร็วหลายๆ คนเลย
Nürburgring, Germany
Nürburgring (เนือร์บูร์กริง) หรือบางคนรู้จักในชื่อ ‘เดอะริง’ คือสนามแข่งรถเก่าแก่ในเมืองฮัมบูกร์ ประเทศเยอรมนี อย่างเส้นทางที่ใช้แข่งในรายการ World Grand Prix นั้นเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1984 ส่วนโซนเหนือของสนามอายุมากกว่านั้นเสียอีก เพราะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1920s โดยโซนเหนือของเดอะริงนี่เองที่ถูกยกย่องให้เป็นสนามแข่งรถที่ยากและอันตรายที่สุดในโลก เพราะว่าเป็นทางลดเลี้ยวตามภูเขา และเคยมีหลายคนที่ได้แข่งรถเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่ เป็นเหตุให้เส้นทางโซนเหนือถูกขนานนามว่า ‘นรกสีเขียว’ (The Green Hell) นั่นเอง สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเราสามารถไปทดสอบฝีมือตัวเองได้ในวันที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไป (Touristenfahrten) โดยสามารถใช้รถอะไรก็ได้ ตั้งแต่รถยนต์ธรรมดาทั่วไป รถบ้าน หรือมอเตอร์ไซค์
Southern Hemisphere Proving Ground, New Zealand
ถ้าใครรักความเร็วและความหนาวยะเยือกต้องไปที่ Cardrona Valley หุบเขาอันเป็นที่อยู่ของถนนสายหลักที่สูงที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์ โดยผู้คนมากมายมาเยี่ยมชมเมืองเก่าสมัยยุคตื่นทองแห่งนี้เพราะมันมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม อีกทั้งยังโด่งดังในฐานะถนนแห่งกิจกรรมเอาต์ดอร์ เพราะมันสามารถนำพาเราไปสู่สกีรีสอร์ทและเทรลเดินเขาต่างๆ รวมไปถึงสนามทดสอบรถยนต์ Hemisphere Proving Ground อันเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของสายดริฟต์ทั่วโลก
โดยเมื่อวันที่ 4-9 สิงหาคมที่ผ่านมา The Ultimate JOY Experience โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับเจ้าของรถยนต์ BMW ทุกคนเพิ่งพาสมาชิกครอบครัว BMW ไปทดสอบความเร็วและประสิทธิภาพของรถยนต์ในโครงการ BMW Alpine xDrive New Zealand ซึ่งนอกจากจะได้ไปดริฟต์รถที่สนามทดสอบรถยนต์ Southern Hemisphere Proving Ground บนยอดเขา Cardrona โดยมีครูฝึกสุดพิเศษอย่าง Lars Mysliwietz อดีตนักแข่งรถระดับโลกแล้ว ยังได้ไปล่องแม่น้ำ Dart River ด้วย Wilderness Jet เรือความเร็วสูงที่พาผู้โดยสาวลัดเลาะท้ากระแสน้ำเชี่ยวได้อย่างถึงใจ และได้ไปกระโดดบันจี้จัมพ์ที่สะพานคาวารัวให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน ทั้งยังได้ไปล่องเรือกลไฟโบราณเพื่อชมความสวยงามของทะเลสาบวาคาทีปูด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์คนรักความเร็วและชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นที่สุด
The Ultimate JOY Experience จัดกิจกรรมพิเศษเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น International Experience การท่องเที่ยวอันตื่นตาในต่างแดน, Nationwide Experiece ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในไทย และ Everyday Privilege สิทธิประโยชน์เหนือระดับที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bmwultimatejoy.com
อ้างอิง