“การทำประกันสุขภาพสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลตัวเอง”
ใครๆ ต่างก็เชื่อเช่นนั้น เพราะสุขภาพที่ดีนั้นมาจากการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ไม่สามารถควักเงินจ่ายแล้วได้ทันที แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของการเลือกกินของที่ดีมีประโยชน์ก็มาจากการใช้เงินในการเลือกซื้ออาหารดีๆ เข้าท้อง แน่นอนว่ามีราคาที่สูงกว่าอาหารทั่วไปที่ไม่ค่อยมีประโยชน์อยู่มาก หรือกระทั่งการออกกำลังกายที่ถึงแม้จะเป็นกีฬาที่ง่ายที่สุดอย่างการวิ่งก็ยังต้องมีรองเท้าดีๆ ที่ราคาสูงเช่นกัน สุดท้ายแล้วการได้มาซึ่งสุขภาพดี เราก็ต้องควักเงินซื้อเพื่อให้ได้มา แถมยังต้องใช้ความพยายามและเวลาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
เกิดเป็นคำถามที่ว่า กว่าจะได้มาซึ่งสุขภาพที่ดีต้องใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน ถ้าหากเป็นคนที่มีรายได้ไม่มาก คุณภาพชีวิตก็อาจจะด้อยกว่า การได้มาซึ่งสุขภาพที่ดีก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไกลตัวออกไป ยามเจ็บป่วยก็ต้องหวังพึ่งสวัสดิการต่างๆ จากหน่วยงานที่ทำอยู่ ประกันสังคม หรือประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐอย่างคุ้มค่ามากที่สุด มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งค่ายาและค่ารักษาต่อค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด (GDP) ในปี 2559 สูงถึง 381,387.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่ 298,495 ล้านบาท สะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพที่จะมารอหวังพึ่งพิงเพียงสวัสดิการอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ในขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องรายได้ กลับให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายเพื่อสุขภาพเป็นอันดับท้ายๆ
ในเมื่อเรามีทางเลือกเพื่อสุขภาพ ณ ช่วงเวลาที่ยังไม่ป่วยนี้ และยังมีรายได้ที่เพียงพอจะจ่ายไหว นอกจากการเลือกอาหารการกินที่ดีและหาอุปกรณ์ดีๆ ที่ทำให้การออกกำลังมีคุณภาพแล้ว การทำ ‘ประกันสุขภาพ’ คืออีกหนึ่งทางเลือกที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง ลองไปดูว่าทำไมการทำประกันสุขภาพจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลตัวเอง
ช่วยวางแผนทางการเงิน
เป็นรู้กันดีในหมู่นักลงทุนว่าอัตราเงินเฟ้อมีผลต่อการลงทุนมากมายขนาดไหน จึงทำให้เกิดการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทุกปี แต่รู้หรือไม่ว่าอัตราเงินเฟ้อในด้านค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 8% เมื่อเทียบกับเงินเฟ้อด้านค่าใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นเพียง 3% เท่านั้น นั่นหมายความว่าการสำรองค่าใช้จ่ายสำหรับค่ารักษาพยาบาลจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แถมส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีใครคิดจะเก็บออมเงินเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ไม่ได้ ว่าต้องเก็บไว้เท่าไรถึงจะเพียงพอ มีเคสตัวอย่างของคนมีรายได้สูง แต่กลับต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วยจนหมดเนื้อหมดตัวให้เห็นกันบ่อยๆ เพราะการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าโรงพยาบาลของรัฐมากกว่าถึง 3-5 เท่า การได้มาซึ่งการรักษาและบริการที่พึงพอใจกว่าก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมากเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าการมีรายได้ที่ดี แต่ขาดการวางแผนก็ทำให้เผชิญกับวิกฤตได้เช่นกัน
การทำประกันสุขภาพจึงเป็นการวางแผนทางการเงินอย่างหนึ่ง เพราะมีการคำนวณเบี้ยเสร็จสรรพเป็นรายปี หมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูงๆ จากการเข้าโรงพยาบาลได้ เป็นการป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินอย่างเห็นผลชัดเจนที่สุด และยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษี ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงไปได้อีก แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่าเบี้ยประกันสุขภาพเป็นรายจ่ายที่เกินความจำเป็น เพราะเป็นเงินที่ต้องจ่ายทิ้งในทุกๆ ปีและเพราะมั่นใจในสุขภาพของตนเองว่าจะไม่เจ็บป่วยแน่ๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ขนาดการลงทุนยังมีความเสี่ยง แล้วทำไมสุขภาพเราจะมีความเสี่ยงไม่ได้
ช่วยป้องกันโรคร้ายไม่ให้ลุกลาม
การไปโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ไม่มีใครสามารถประเมินค่าใช้จ่ายเป็นตัวเลขได้แน่นอน เพราะการสรุปค่าใช้จ่ายในการรักษาจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหมอที่เกิดขึ้นหลังจากการวินิจฉัยแล้วเท่านั้น จะต้องจ่ายยาอะไรหรือต้องนัดรักษาอีกวันไหน จนทำให้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวการไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อไปจ่ายเท่าไร ในเมื่อประเมินไม่ได้จึงเลือกที่จะซื้อยามากินเองมากกว่า และยิ่งถ้าเป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ แล้วล่ะก็ ไม่มีทางได้พบเจอกับคุณหมอแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่า อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเหล่านั้น อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่จะตามมาก็เป็นได้ จากผลการวิเคราะห์ผลกระทบจากภาวะการเจ็บป่วยและสังคมสูงวัย พบว่าโรคที่คนไทยป่วยสูงสุด ได้แก่โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคระบบทางเดินหายใจตามลำดับ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมาก สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการมองข้ามอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีแล้วตัดสินใจไปหาหมอ อาการก็เข้าขั้นวิกฤตไปเรียบร้อยแล้ว
จะดีกว่าถ้าเราทำประกันสุขภาพไว้ก่อน จะเจ็บป่วยเล็กน้อยอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวค่าใช้จ่ายจะบานปลาย คือถึงแม้จะเจ็บป่วยเล็กน้อยยังไงสามารถไปหาหมอได้ทุกครั้ง เพราะเมื่อเทียบกับเบี้ยที่ต้องจ่ายไปทั้งหมดแล้วก็นับว่าคุ้มค่า และที่สำคัญเมื่อได้พบกับหมอทุกครั้งก็อุ่นใจไม่ต้องกังวลกับโรคร้ายใดๆ หรือถ้าเป็นก็สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที
ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่บนความสบายใจ
เชื่อว่าเป้าหมายในชีวิตของคนส่วนใหญ่ คือความมั่นคงทางการเงินและความสุข แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่หลายคนอาจมองข้ามคือปัญหาเรื่องสุขภาพที่คอยบั่นทอนการไปถึงเป้าหมายนั้นให้ช้าลงไป หรือเลวร้ายถึงขั้นไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ได้เลย เพราะการเจ็บป่วยที่จะนำมาซึ่งปัญหาทางการเงินในการรักษาและอาจลามไปถึงปัญหาทางใจที่ตามมา การทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นย่อมติดขัดอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนยังให้ความสำคัญกับครอบครัวไม่น้อยไปกว่าตนเอง การมีคนป่วยอยู่ในบ้านย่อมทำให้การใช้ชีวิตติดอยู่กับความกังวลหลายอย่าง จะทำอะไรก็ทำไม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะอาจต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่ารักษา ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยแล้ว ความกังวลนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
การทำประกันสุขภาพนอกจากจะเป็นการวางแผนเรื่องการเงินและการป้องกันโรคร้ายไม่ให้ลุกลามอย่างที่กล่าวไปแล้ว เหตุผลข้อสำคัญของการทำประกันสุขภาพเปรียบได้กับการซื้อความสบายใจด้านสุขภาพล่วงหน้า เพราะไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะป่วยหนักเมื่อไรหรือจะมีโรคร้ายอะไรมาเล่นงาน ทำให้หลายคนเลือกที่จะทำประกันให้กับตนเองและคนในครอบครัวด้วย โดยในระยะหลังการทำประกันให้กับลูกก็ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพสำหรับเด็กก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ใหญ่เลย ไปหาหมอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะการใช้ชีวิตของทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายอื่นๆ มากกว่าต้องมากังวลกับเรื่องเงินและการเจ็บป่วยใดๆ
เมื่อเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของการทำประกันสุขภาพเช่นนี้แล้ว ลองให้ เอ็ทน่า ประกันสุขภาพ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่รู้จักกันในนาม บูพา (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในทางเลือกดีๆที่ช่วยดูแลสุขภาพของคุณ ทั้งนี้ เอ็ทน่า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประกันสุขภาพระดับโลก การันตีด้วยสมาชิกกว่า 46 ล้านคนใน 190 ประเทศทั่วโลก ให้คุณได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ สบายใจไร้กังวลกับเรื่องสุขภาพ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ aetna.co.th
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/general/news-105651