ในขณะที่กำลังนั่งจิบกาแฟ เคยสังเกตตัวเองกันหรือไม่ว่ากลิ่นของกาแฟในแก้วเป็นยังไง เมื่อดื่มไปแล้วรสชาติขณะที่ดื่มกับหลังจากกลืนไปแล้ว แตกต่างกันแค่ไหน ดื่มแล้วทำให้นึกถึงสถานที่ต้นกำเนิดบ้างหรือเปล่า แล้วกาแฟแบบไหนที่ภาพจำของคุณบอกว่า รสชาติแบบนี้แหละเหมาะกับเราที่สุด?
การจะรังสรรค์กาแฟให้มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป ถ้าเราเลือกความพิเศษที่สุดได้ก่อนใคร ตั้งแต่พื้นที่การปลูก ผสานกับความเชี่ยวชาญในการแปรรูปผลกาแฟของเกษตกรท้องถิ่น เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่ มีเอกลักษณ์สู่แก้วของคุณ
สำหรับพื้นที่สำคัญ 5 ภูมิภาคที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์แห่งภูมิปัญญาเพื่อคอกาแฟ ได้ถูกยกให้เป็น Master Origin 5 รสชาติใหม่จากเนสเพรสโซ ได้แก่
Master Origin Indonesia กาแฟป่าฝน และดินภูเขาไฟจากอินโดนีเซีย
อินโดนีเซีย เป็นประเทศผู้ผลิตเมล็ดกาแฟอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ดี เหมาะสำหรับการปลูก ทั้งยังมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้เส้นศูนย์สูตรที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกกาแฟ จากในอดีตความสูงของพื้นที่ และดินจากภูเขาไฟ พร้อมความรู้เรื่องการผลิตกาแฟตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 สมัยเป็นอาณานิคมของชาวดัชต์ กาแฟอาราบิก้าจากอินโดนีเชียได้ผ่านกรรมวิธีการแปรรูปที่ต้องแข่งขันกับฝนที่ตกอย่างสม่ำเสมอ การสีเปลือกเมล็ดกาแฟออกทั้งที่เมล็ดยังชื้นอยู่ จะทำให้การตากเมล็ดกาแฟแห้งเร็วขึ้นกว่าปกติ หลีกเลี่ยงการเจอฝน และพายุที่สามารถตกได้ตลอดเวลาบนเกาะสุมาตรา ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า สีกาแฟแบบเปียก (Wet-Hulled) ซึ่งมีความพิเศษตรงที่การขัดเมล็ดกาแฟนั้น จะทำตอนที่กาแฟยังเปียกชื้นอยู่ เป็นวิธีที่ทำให้ได้เมล็ดกาแฟเร็วขึ้น และประหยัดเวลามากยิ่งขึ้นอีกด้วย เมื่อดื่มแล้วจะได้กลิ่มหอมอ่อนๆ ของดินและไม้เมืองร้อนอย่าง ใบยาสูบ ต้นซีดาร์ และโกโก้ ที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟ Master Origin Indonesia ความเข้มข้นของกาแฟอยู่ที่ระดับ 8
Master Origin Ethiopia รสชาติจากต้นกำเนิดของกาแฟโลก
เอธิโอเปีย เป็นประเทศได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของกาแฟในโลกนี้ ด้วยสภาพภูมิประเทศในเอธิโอเปียที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,700-2,200เมตร และยังเป็นเนินเขาสูง จึงเหมาะสมแก่การผลิตมากที่สุด จากกรรมวิธีการแปรรูปด้วยวิธีดั้งเดิมและเก่าแก่สั่งสมมานานกว่าพันปีของชาวเอธิโอเปียนั่นก็คือวิธีแบบตากแห้ง (Dry Process) ผลกาแฟและใบที่เก็บมา จะนำไปตากแดดไว้บนเนินสูงนาน 4 สัปดาห์ ทุกๆ ชั่วโมงชาวไร่กาแฟจะพลิกกาแฟด้วยมือ เพื่อให้แห้งสนิทเท่าๆ กัน ซึ่งจะได้กลิ่นหอมผลไม้อ่อนๆ ซึมซาบเข้าสู่เมล็ดกาแฟ รสชาติที่ได้จึงมีความหอมละมุนดุจกลิ่นดอกส้ม และรสชาติแบบผลเบอร์รี่ ให้ความรู้สึกเบาสดชื่น และผ่อนคลาย ความพิถีพิถันนี้จึงถูกนำมาสู่กาแฟ Master Origin Ethiopia ความเข้มข้นของกาแฟอยู่ที่ระดับ 4
Master Origin India ลมมรสุมที่สร้างรสชาติกาแฟที่มีความสไปซี่จากอินเดีย
เอกลักษณ์เลื่องชื่อในการตากเมล็ดกาแฟริมทะเล เพื่อต้อนรับฤดูมรสุม ชาวไร่กาแฟมักจะปลูกควบคู่ไปกับการปลูกเครื่องเทศ เช่น กระวานและอบเชย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้กาแฟมีรสชาติเผ็ดอ่อนๆ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว หนึ่งในกระบวนการผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียงของอินเดียจากชายฝั่งมาลาบาร์ เรียกว่า “มอนซูนมาลาบาร์” (Monsoon Malabar) ซึ่งขั้นตอนการผลิตกาแฟดังกล่าว เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ ในระหว่างการส่งออกกาแฟจากอินเดียไปยังยุโรปในสมัยที่อินเดียยังปกครองโดยอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 กาแฟนั้นจะถูกบรรจุไว้ในกล่องไม้และทำให้มันต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปียกชื้นในช่วงฤดูมรสุม เมล็ดกาแฟดิบเหล่านั้นดูดเอาความชื้นเข้าไป ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ ก่อให้เกิดรสชาติซับซ้อนมีกลิ่นหอมของเมืองร้อน และเครื่องเทศจัดจ้านแต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือกาแฟมีกลิ่นเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์นสำหรับกาแฟ Master Origin India ความเข้มข้นของกาแฟอยู่ที่ระดับ 11
Master Origin Nicaragua ความหวานดุจน้ำผึ้ง จากกรรมวิธีพิเศษของนิการากัว
พื้นที่ปลูกกาแฟของนิการากัวนั้น เป็นเนินภูเขาไฟความสูงไม่เกิน 1,600 จากระดับน้ำทะเล อีกทั้งสายพันธุ์กาแฟของที่นี้ใบ และเมล็ดใหญ่เป็นอันดับต้นของโลก และยังเป็นกาแฟที่นำเสนอความนุ่มละมุนของรสชาติ และหวานแบบน้ำตาลธรรมชาติ จากกรรมวิธีการผลิตแบบแบล็กฮันนี่ (Black Honey Process) ในกรรมวิธีนี้ คือการนำเมล็ดกาแฟที่ยังมีเยื่อหุ้มกาแฟติดอยู่ไปตากแดดเป็นวิธีที่ใช้เวลาตากยาวนานที่สุด ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 30 วันกว่าเมล็ดกาแฟจะแห้งสนิท จนมีสีดำติดอยู่ตามเมล็ดกาแฟ ซึ่งเป็นวิธีที่ต้องการการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุดนั่นเอง โดยต้องทำการพลิกกลับด้านของเมล็ดกาแฟอยู่บ่อยๆ เวลาตาก เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดเกิดความชื้น และแห้งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ โดยผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้กาแฟมีกลมกล่อม หอมหวานจากน้ำตาลธรรมชาติเปรี้ยวอ่อนแบบซิตัส และได้รสโกโก้ ที่ดูจะเป็นกาแฟที่เหมาะแก่การดื่มทุกวันอย่าง Master Origin Nicaragua ความเข้มข้นของกาแฟอยู่ที่ระดับ 5
Master Origin Colombia จากเทคนิคการทำไวน์สู่กาแฟ
กาแฟโคลอมเบีย เลือกที่จะไม่เก็บเกี่ยวผลกาแฟช่วงต้น หรือกลางฤดูเหมือนกับที่อื่น แต่จะทิ้งช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ผลกาแฟเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วง นั่นคือช่วงปลายฤดู โดยปกติแล้วเราจะพบการใช้วิธีการเก็บเกี่ยวปลายฤดูนี้กับอุตสาหกรรมไวน์ โดยปล่อยให้ผลเชอร์รีสุกมากกว่าปกติประมาณ 10 – 14 วัน แล้วจึงทำการเก็บเกี่ยวด้วยมือเท่านั้น ดังนั้นเมล็ดกาแฟจึงมีเวลาซึมซับน้ำตาลจากเนื้อของผลเชอร์รีมากขึ้น ก่อนจะถูกนำมาแปรรูปด้วยกระบวนการแบบเปียก (Wet Process) ต่อไป
อีกเรื่องสำคัญคือความพิถีพิถันในการคัดผลสุกด้วยคนทั้งหมด ส่งผลให้กาแฟมีกลิ่น และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์รวมถึงได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพคงที่สม่ำเสมอ ทำให้กาแฟมีกลิ่นหอมหวานคาราเมล และโกโก้ รสชาติกลมกล่อมทั้งผลไม้ และถั่ว มีรสอมเปรี้ยวอย่างมีชีวิตชีวา จนกลายมาเป็น Master Origin Colombia ความเข้มข้นของกาแฟอยู่ที่ระดับ 6
ดื่มด่ำกับความพิเศษกาแฟ Master Origin 5 รสชาติใหม่ ที่ดึงเอกลักษณ์ของประเทศต้นกำเนิด ผสานกับกรรมวิธีพิเศษในรูปแบบของเอสเพรสโซ (40 มล.) หรือแบบลุงโก้ (110 มล.) และจะเป็นผลิตภัณฑ์ของเนสเพรสโซทั่วโลกอย่างถาวร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเชิญลิ้มลองได้ที่
- Nespresso Boutique ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น 1
- Nespresso Pop-Up Boutique ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ชั้น G
- Nespresso ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ชั้น 2
- Nespresso ศูนย์การค้าเมกา บางนา ชั้น 1
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.nespresso.com หรือแอปพลิเคชั่นมือถือ Nespresso โทรฟรี 1800-019090
Facebook.com/Nespresso.Thailand
Instagram : @Nespresso.th
LINE@ : @NespressoTH