‘รากฐานของบ้านคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการศึกษา’
การศึกษานับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยพัฒนาบุคคลให้มีความเจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกับสังคมได้ แต่ปัจจุบันมีเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาจำนวนกว่า 1.9 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มช่วงชั้นรอยต่อที่เสี่ยงหลุดจากระบบในช่วงปิดเทอมใหญ่ และยังพบว่ามีเด็กชั้นประถมศึกษาตอนปลายจำนวนมากที่ตัดสินใจออกมาทำงานเพื่อหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว
เราจึงถือโอกาสพูดคุยกับ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. และกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและที่มาของ ‘โครงการ Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน’ ซึ่ง กสศ. ร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบในการป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา แก้ไขปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และสนับสนุนการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในภาคนโยบายและภาคปฏิบัติให้กลุ่มเป้าหมายต่างๆ สามารถฝ่าวิกฤตไปได้ด้วยการโดยใช้การวิจัยพัฒนา องค์ความรู้ ฐานข้อมูล และนวัตกรรม โดยมี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่นำร่องโครงการเป็นหมุดหมายแรก
อยากให้เล่าถึงภาพรวมของระบบการศึกษาตอนนี้ มีการช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนอย่างไรบ้าง
ถ้าเราย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนมี กสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) ระบบการศึกษาเรา ทุกคนก็ทราบดีว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นโจทย์อันดับต้นๆ ที่อยู่คู่ระบบการศึกษาไทยมานาน ณ ตอนก่อนกำเนิด กสศ. ในรูปแบบที่เป็นกองทุนแบบนี้ เมื่อปี 2561 ระบบการศึกษาไทยมีงบประมาณ 5 แสนล้านบาท แต่มีงบประมาณที่เป็นงบประมาณในการลดความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กยากจนโดยเฉพาะอยู่เพียงแค่ 2,500 ล้านบาท หรือใน 100 บาท มี 50 สตางค์ หรือเพียง 0.5% เท่านั้น
งบประมาณส่วนใหญ่ในระบบการศึกษากว่า 70-80% ของ 5 แสนล้านบาท เป็นการจัดไปที่ Supply Side คือจัดไปที่โรงเรียน ถ้าเด็กสามารถที่จะเดินทางมาถึงโรงเรียน ได้เรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่หลุดออกจากระบบ ก็จะได้เงินเรียนฟรี 15 ปี แต่ฝั่ง Demand Side หรือค่าใช้จ่ายเรื่องของค่าเดินทางของเด็ก เรื่องของการที่จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถที่จะพาบุตรหลานมาเรียนได้อย่างต่อเนื่องก็ยังคงขาดอยู่
เงินอาจไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง แต่เงินคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากในการเข้าถึงตัวเด็ก เข้าถึงข้อมูลของเด็ก และสามารถที่จะติดตามการมาเรียน รวมไปถึงน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กนักเรียน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงศักยภาพและความพร้อมในการมาเรียน เพราะเมื่อเอาไปตรวจจะพบได้ว่าเด็กนักเรียนบางคนมีพยาธิ บางคนเป็นโรคโลหิตจาง หรือบางคนเป็นโรคอ้วนแบบขาดสารอาหารเพราะกินแต่แป้ง เนื่องจากไม่มีเงินกินเนื้อสัตว์
งบประมาณส่วนใหญ่ของระบบการศึกษาไปอยู่ทางฝั่ง Supply Side แต่ก็ยังไม่เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายประจำ ทั้งเรื่องของของค่าจ้างครู ค่าลงทุนอาคารสถานที่ ค่าวัสดุสิ้นเปลืองทั้งหลาย เงินที่ไปที่ตัวเด็กโดยตรงมีอยู่น้อยมาก เนื่องจากทรัพยากรมีไม่เพียงพอ ทำให้ปัจจุบันสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำมีอยู่สูงมาก
ยิ่งเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้กระทบหนักขึ้นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา
โควิด-19 ส่งผลใน 2 มิติให้กับความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาไทย ประเด็นแรกคือเป็นความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสทางการศึกษา คือเป็นโอกาสที่เด็กหลุดออกไปจากระบบการศึกษา เพราะโควิดกระทบผ่านกลไกเศรษฐกิจ การที่โควิดทำให้ผู้ปกครองถูกเลิกจ้าง ทั้งเลิกจ้างโดยถาวร หรือเลิกจ้างโดยชั่วคราวทำให้ผู้ปกครองขาดรายได้ ขาดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการให้บุตรหลานไปโรงเรียน ประเด็นที่สอง คือเป็นโจทย์ทางด้านคุณภาพ เพราะว่าเด็กจะมีความถดถอยทางการเรียนรู้ เรียนที่บ้านก็ไม่มีอุปกรณ์ที่จะเรียน แล้วก็มีโอกาสที่จะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ กลายเป็นเด็กที่เรียนๆ ให้มันจบๆ ไปอย่างนั้น
อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา
จากปัจจัยหลักๆ ที่เห็นเป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัญหาจากรายได้ในครัวเรือนที่มองทุกคนในครัวเรือนเป็นแรงงาน พ่อแม่เองก็ต้องไปทำงาน ถ้าเกิดว่ามีตำแหน่งงานที่จำเป็นจะต้องมีลูกมือ ก็หนีไม่พ้นจะเอาลูกหลานของตนไปเป็นคนทำงาน หากเป็นการทำงานชั่วครั้งคราว อย่างเช่นภายในฤดูเก็บเกี่ยว หรือช่วงที่มีราคาสินค้าการเกษตรที่ดีก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่เขาจะเอาลูกหลานออกไปทำงานถาวรก่อนที่จะจบการศึกษาภาคบังคับ เพราะเรื่องของรายได้สำหรับพวกเขามันรอไม่ได้ เขาต้องมีรายได้ในปัจจุบัน การศึกษาจึงอาจต้องเป็นไปรูปแบบเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ซึ่งถ้าเกิดเราไม่สามารถที่จะทำให้การศึกษามีความยืดหยุ่นอย่างนั้นได้ ซึ่งเป็นการบีบให้ผู้ปกครองและเด็กตัดสินใจที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง และเขาก็ต้องเลือกที่จะมีรายได้
บทบาทของ กสศ. เข้ามาช่วยเหลืออะไรบ้าง
กสศ. มีการทำการวิจัย ซึ่งไม่ใช่การวิจัยเชิงระบบเท่านั้น แต่เป็นการวิจัยที่เกี่ยวพันโดยตรงกับวัฏจักรในการทำงาน แล้วก็ชีวิตของเด็กตลอดช่วงวัยจริงๆ เราจะรู้ว่าจุดจัดการ จุดคาน มันอยู่ตรงไหน เราจะไม่มองหาทางออกจากภาครัฐอย่างเดียว เพราะว่าภาครัฐก็มีข้อจำกัด แต่เรามองหาทางออกโดยใช้คอนเซปต์ All for Education คือใช้การบูรณาการจากทุกภาคส่วน ซึ่งสามารถที่จะหวังได้ว่าผลลัพธ์ในการปฏิรูปการศึกษา จะเป็นผลที่แตกต่างไปจากเดิม ข้อเสนอในการทำงานในพื้นที่เหล่านี้จะนำไปสู่ข้อเสนอระดับชาติ เพราะถ้าเราสามารถที่จะเอาโมเดลที่เราทำอยู่ไปทำนโยบายของประเทศได้ มันก็จะสามารถเป็นโอกาสที่เราจะเปลี่ยนจากงานวิจัยเชิงระบบตอนแรก เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เราทำอยู่ในวันนี้ ไปสู่ขอเสนอเชิงนโยบายที่ทำได้จริงโดยมีการทดสอบมาแล้ว
อะไรคือความท้าทายสำคัญของ กสศ. ที่จะช่วยให้เด็กที่หลุดจากระบบได้กลับมาเรียน
แต่ละกรณีของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษามีความซับซ้อนมาก ในเด็กล้านคน ก็แทบจะมีล้านสาเหตุ การแก้ไขปัญหาจึงไม่สามารถแก้ได้เหมือนการกินยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบ คือต้องใช้เวลา อย่างบางคนเป็นเด็กกำพร้าอยู่กับปู่ย่าตายาย ต้องออกไปช่วยทำมาหากิน เพราะไม่มีใครจะมาเลี้ยงดูผู้ปกครองเขาถ้าเขาไม่ทำ ก็กลายเป็นโจทย์ความเหลื่อมล้ำจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาซึ่งจากเดิมมีหน้าที่หลักคือจัดการศึกษาจึงจะต้องมีกลไกอย่างอื่นมาช่วย เพราะเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นเรื่องที่ซับซ้อน หลากหลายโจทย์ หลากหลายประเด็น ถ้าเราไม่มีระบบในการจัดการที่ยืดหยุ่นพอก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเด็กอาจกลับมาในระบบการศึกษาได้ แต่เดี๋ยวก็จะหลุดออกไปอีก
ที่มาของการดำเนินการ ‘โครงการ Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน’ เกิดขึ้นจากอะไร
Zero Dropout มันเป็นนโยบายของรัฐซึ่งได้ไปลงนาม MOU กับ 11 หน่วยงานเมื่อต้นปี ซึ่งมีเป้าหมายว่าประเทศไทยจะมุ่งสู่เป้าหมาย Zero Dropout ก็คือให้เด็กนอกระบบที่ปัจจุบันมีอยู่ 4 แสนกว่าคน ให้เป็น 0 ให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น กสศ. ก็เป็นหนึ่งในหน่วยงาน 11 หน่วยงานนั้น เราก็พยายามทำงานโดยอาศัยงานวิจัยและใช้การสร้างระบบความร่วมมือ เราจึงดึงเอาภาคเอกชนอย่าง ‘แสนสิริ’ เข้ามามีส่วนร่วม และเลือก จ.ราชบุรี ที่มีเด็กเยาวชนนอกระบบอยู่ประมาณ 10,000 คน ซึ่งอยู่ในขนาดของปัญหาที่พอจะจัดการได้ภายใน 3 ปี เป็นพื้นที่นำร่องโครงการ
เรื่องของความร่วมมือ กสศ. ต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษา หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการทำงานร่วมกัน หรือแบ่งหน้าที่กันอย่างไร
กสศ. เราไม่ได้มีโรงเรียนในสังกัด แต่เรามาสนับสนุนให้โรงเรียนและหน่วยงานด้านการจัดการศึกษา สามารถที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำแบบนี้ได้ อย่างโครงการ Zero Dropout เราก็ตั้งใจที่จะคุยกันในพื้นที่อย่างสวนผึ้งว่าอะไรบ้างที่สวนผึ้งจำเป็นต้องมีการสนับสนุน อะไรบ้างที่เราจำเป็นจะต้องช่วยทั้งในด้านที่เป็นตัวเงิน และก็ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เพื่อให้โรงเรียนมีทรัพยากรในการจัดการโจทย์ปัญหาเหล่านี้ไปได้
นวัตกรรมหรือเครื่องมืออะไรที่ กสศ. ใช้ในการทำงาน
เราคิดว่าการที่สังคมได้ยินได้ฟัง แต่ว่าระบบการศึกษามีความเหลื่อมล้ำ ระบบการศึกษามีปัญหา จะเป็นการเห็นเฉพาะผิวของโจทย์และปัญหา จะไปไม่ถึงคำตอบ ถ้าเราไม่สามารถที่จะนำเสนอข้อมูลออกมาได้อย่างเต็มที่ เราจึงมีการใช้ระบบของ Big Data เข้ามา อย่างระบบ iSEE และ PEA
ระบบ iSEE (isee.eef.or.th) เป็นระบบ Data Visualization Tools ที่ทำให้เราเห็นว่าเด็กยากจนด้อยโอกาสอยู่ที่จุดไหนบ้างในประเทศไทย สามารถเข้าไปดูได้เลยว่าสถานการณ์การเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในแต่ละพื้นที่ตอนนี้มันเข้มข้นแค่ไหน แล้วเมื่อเข้าไปดูแล้วก็สามารถที่จะหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันได้
ส่วน PEA คือบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษา คือตั้งเป้าเฉพาะการศึกษา อยู่ที่จังหวัดไหน เท่าไหร่บ้าง เราจะได้รู้ว่าแต่ละจังหวัดมีทรัพยากรด้านการศึกษามากน้อยแค่ไหน ต้องการอะไร เราต้องการจะบอกว่ารายจ่ายด้านการศึกษา ไม่ได้มาจากภาครัฐอย่างเดียว แต่ครัวเรือนและเอกชนก็จ่ายอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เพราะคนรวยก็จ่ายได้มาก คนจนก็จ่ายได้น้อย ช่องว่างมันห่างกันหลายเท่ามาก เป็นเรื่องที่ต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา
แนวคิดหลักประกันโอกาสทางการศึกษาที่ จะเพิ่มโอกาสและคุณภาพให้เด็กเข้าถึงการศึกษาประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
สิ่งที่ กสศ. เราพยายามทำ คือเราพัฒนาระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาขึ้นมา โดยใช้ระบบข้อมูลเป็นตัวทำงาน แต่ก่อนเราไม่รู้เลยว่าเด็กคนไหนเป็นเขียว เหลือง แดง เขียวคือปกติ เหลืองก็คือสุ่มเสี่ยง แดงคือจะหลุดจากระบบการศึกษาแล้ว เราก็คิดว่าถ้าเกิดเราสามารถที่จะดึงเอาข้อมูลรายบุคคลของเด็ก ดูน้ำหนักส่วนสูงที่มีความเสี่ยงจะเป็นเด็กทุพโภชนาการไหม อัตราการมาเรียนที่ลาเรียนบ่อย หรือว่าพ่อแม่ยากจน พ่อแม่ติดยาเสพติด กำพร้า เราก็เอาข้อมูลเหล่านั้นมาคำนวณเป็นระดับของความเสี่ยง ว่าเด็กแต่ละคนมีความเสี่ยงแค่ไหน แล้วเราก็ทำงานกับระบบที่เรียกว่าระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ก็คือว่าคุณครูจะรู้ว่าเด็กคนไหนเสี่ยง แล้วมีการเข้าจัดการก่อน ถ้าเกิดขาดเหลืออะไรก็จะได้ระดมทรัพยากรมาดูแลได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องได้เท่ากัน แต่เราจะเน้นไปจัดการสีแดง มันเหมือนการบริหารความเสี่ยง สีเขียวไม่น่าเป็นห่วง เพราะเขาสามารถดูแลตัวเองได้ สีเหลืองกับสีแดงคือกลุ่มสำคัญ สีเหลืองอาจจะคอยมองห่างๆ ส่วนสีแดงต้องรีบเข้าไปจัดการ
อีกวิธีการของระบบนี้ คือการส่งต่อ เราได้จัดทำ MOU กับ กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) และ กรอ. (กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต) เพื่อส่งต่อข้อมูลว่ามีเด็กไทยที่ยากจนอยู่กี่คนและอยู่ที่ไหนที่อาจต้องการกู้เงิน เพราะแต่เดิม กยศ. ก็ไม่รู้ว่ามีเด็กคนไหนที่จน ไม่มีเงินเรียน ส่วนเด็กนักเรียนก็ไม่มีความรู้ว่าตนเองสามารถกู้เงินได้ เราก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อให้ทั้งสองมาบรรจบกัน
อีกส่วนคือเด็กม. 6 ที่สอบเข้า TCAS ซึ่งจะมีเด็กส่วนหนึ่งสอบติดแต่ไม่มีเงินเรียน เพราะมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถรู้ได้ตั้งแต่แรกว่าเด็กคนไหนจน เนื่องจากระบบ TCAS มีเพียงการกรอกชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชนชน 13 หลัก แต่ไม่ได้มีการกรอกสถานะความยากจน แต่ กสศ. เรามีการคัดกรองความยากจน เราจึงส่งต่อข้อมูลนี้ไป ซึ่งสำหรับ TCAS 65 จะเป็นปีแรกที่ตอนที่เด็กเข้าสมัคร TCAS ติด มหาวิทยาลัยจะไม่ได้มีข้อมูลแค่ว่าเกรดเด็กเท่าไหร่ ข้อสอบคะแนนเท่าไหร่ แต่จะรู้ด้วยว่าเด็กสถานะยากจนแค่ไหน พอมหาวิทยาลัยรู้แบบนี้ก็สามารถที่จะเสนอที่เรียนพร้อมทุนการศึกษาให้กับเด็กได้ เพราะฉะนั้นนี่คือระบบหลักประกัน ไม่ได้ใช้เงินทำงานแต่เพียงลำพัง แต่ใช้ข้อมูลทำงาน
อยากให้อธิบายถึง สวนผึ้งโมเดล ทำไมถึงเลือกที่นี่เป็นพื้นที่นำร่องโครงการ
โครงการ Zero Dropout เป็นโครงการที่เราต้องการจะสาธิตการทำงานเชิงพื้นที่ว่าถ้าเกิดหนึ่งจังหวัดมีระบบข้อมูลในลักษณะนี้แล้วสามารถบรรลุเป้าหมายในการปฏิรูประบบการศึกษาให้เด็กได้เรียนและไม่หลุดจากระบบการศึกษา แสดงว่าเราจะสามารถพัฒนาและต่อยอดโมเดลนี้ไปในพื้นที่อื่นๆ ได้ เราจึงใช้คำว่า ‘โมเดล’ เพราะเป็นการทำเพื่อให้เห็นว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว มีโอกาสที่จะไปทำที่อื่นได้เหมือนกัน
สาเหตุที่ต้องเป็นสวนผึ้ง เพราะสวนผึ้งเป็นพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดของราชบุรี จำนวนเด็ก Dropout เยอะที่สุด โดยธรรมชาติสวนผึ้งเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยว แต่ทางปฏิบัติรายได้ต่อหัวก็ต่ำที่สุดของจังหวัด เด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาก็มากที่สุด แต่เรามีผู้นำระดับเขตพื้นที่การศึกษาและ ผอ. โรงเรียนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีไม่แพ้ใคร ถ้าที่สวนผึ้งทำได้ อำเภออื่นๆ ก็ไม่สามารถจะมีข้ออ้างอะไรแล้วว่าทำไมตัวเองจะทำไม่ได้
อะไรคืออุปสรรคที่สำคัญที่สุดสำหรับการเริ่มต้นที่นี่
อุปสรรคที่นี่ก็คือความซับซ้อนของโจทย์ อย่างแรกคือโจทย์เรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่เขามีความหลากหลาย และไม่ได้ใช้ภาษาไทย บางทีเด็กที่เข้ามาเรียนก็ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว อ่านออกเขียนได้ได้อย่างเต็มที่ เขาจะมีปัญหาในการที่จะเรียนให้มีความก้าวหน้าได้ในที่สุด อีกโจทย์หนึ่งคือเรื่องของการย้ายถิ่นประชากร คือมีการย้ายถิ่นฐานกลับไปกลับมาของคนในพื้นที่ เพราะฉะนั้นช่วงปิดเทอมจึงเป็น 3 เดือนอันตราย ที่มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากจนติดต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูไม่ได้ โจทย์สุดท้ายที่เป็นอุปสรรคมากคือ พวกเขายากจนจริงๆ และสายป่านของพวกเขาก็แทบไม่มีเลยจากวิกฤตเรื่องโควิดที่ผ่านมา
มีเคสของเด็กนักเรียนคนไหน ที่พอจะสะท้อนกระบวนการทำงานของ กสศ. ได้มากที่สุด
เด็กนักเรียนคนหนึ่งต้องไปทำงานเลี้ยงวัวช่วยที่บ้านและไม่ค่อยมาโรงเรียน ทางโรงเรียนเลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กคนนี้กลับมาเรียนได้ตามปกติ แล้วก็ไม่หลุดออกไปจากระบบ เดิมโรงเรียนก็มีการเลี้ยงไก่ ทำการเกษตร คุณครูก็เลยให้เด็กนักเรียนคนนี้เข้ามาทำงานเลี้ยงไก่ แล้วก็ปลูกผักในโรงเรียนแทนเพื่อสร้างรายได้ เด็กนักเรียนคนนี้จึงไม่จำเป็นต้องไปเลี้ยงวัวข้างนอกแล้วก็ไม่ได้เรียนหนังสือ วิธีนี้จึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มีความยืดหยุ่นคือให้เด็กนักเรียนคนนี้ได้มีอาชีพไปด้วย เนื่องจากถ้าเอากลับมาเรียนอย่างเดียว ก็จะหลุดออกจากระบบการศึกษาไปอีกแน่ๆ
ทำไมความร่วมมือถึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้
ที่ กสศ. เราจะมีคอนเซปต์ว่า All for Education คือการที่เราจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โจทย์ของเด็กด้อยโอกาส เด็กนอกระบบ ที่อยู่ในกลุ่มสุดท้ายของประเทศ มันซับซ้อนกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ ที่ผ่านมา ที่เราดึงเขากลับเข้ามาได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานเดียว ทำเพียงลำพังไม่ได้ ทรัพยากรเรามีไม่พอ กำลังเรามีไม่พอ เราจึงต้องอาศัยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ท้องถิ่น หรือภาคนโยบาย ภาควิชาการที่ ภาพที่เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่าโมเดลแบบนี้ต้องเป็น All for Education เรามีคีย์เวิร์ดที่ล้อกันมา คือเราพูดเรื่อง Education for All หรือการศึกษาเพื่อปวงชนมาโดยตลอด แต่จริงๆ ในหลักกิโลเมตรสุดท้ายต้อง All for Education ที่ทุกคนจะต้องมาสร้างให้เป้าหมายเหล่านี้บรรลุไปด้วยกัน ขาดใครไปไม่ได้ โควิดไม่รอใคร เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าใครทำได้เร็ว ใครระดมทรัพยากรได้ ใครมีองค์ความรู้ ใครมีประสบการณ์
ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ กสศ. ในการปะติดปะต่อภาคีในกลุ่มทุกภาคส่วน ให้ร่วมกันแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืนให้ได้