คุณเป็นสายรักธรรมชาติหรือเปล่า? ข่าวนี้อาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่มากก็น้อย ภายหลังจากที่ผลการตรวจสอบแบรนด์ (Brand Audit Report) ประจำ ค.ศ. 2020 เปิดเผยรายงานด้วยการกล่าวหาว่า โคคา-โคลา เป๊ปซี่ และเนสเล่ ได้ปล่อยขยะพลาสติกเสียมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แถมพวกเขายังไม่ได้มีนโยบายในการลดขยะพลาสติกเหล่านี้มาเป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้ว
The Guardian รายงานว่า จากการเก็บตัวอย่างขยะพลาสติกของอาสาสมัครจำนวน 14,734 คน ใน 55 ประเทศทั่วโลก พวกเขาได้เก็บขยะจำนวนกว่า 346,494 ชิ้นจาก 575 แบรนด์ ทั้งนี้ เจ้าของตำแหน่งผู้ปล่อยขยะพลาสติกเสียอันดับแรกของโลกตกเป็นของโคคา-โคลา โดยจากการสำรวจใน 55 ประเทศ มี 51 ประเทศ ที่พวกเขาพบขวดพลาสติกของโคคา-โคล่าจำนวนกว่า 13,834 ชิ้น ถูกทิ้งอยู่ตามชายหาด แม่น้ำ สวนสาธารณะ และตามที่ทิ้งขยะต่างๆ ในขณะที่ปีก่อนพวกเขาพบขวดลิตรของโคคา-โคลาเหล่านี้เพียงแค่ 37 ประเทศเท่านั้น
จากรายงาน ตัวเลขขยะพลาสติกของโคคา-โคลา ยังแย่กว่าตัวเลขขยะพลาสติกจากเป๊ปซี่กับเนสเล่รวมกัน โดยอาสาสมัครทั่วโลกพบขยะพลาสติกจากเป๊ปซี่จำนวน 5,155 ชิ้น นับเป็นแบรนด์ที่ปล่อยขยะพลาสติกเป็นอันดับที่ 2 ตามมาด้วยที่เนสเล่ ที่ปล่อยขยะพลาสติกทั้งสิ้น 8,633 ชิ้น ซึ่งขยะจำนวนนับแสนชิ้นถูกพบว่ามาจากแบรนด์สินค้าเชิงบริโภคกว่า 63 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตัวแทนของโคคา-โคลา เคยออกมาแถลงว่า พวกเขาจะไม่เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดพลาสติกของพวกเขา จากเหตุผลว่า ‘ผู้บริโภคเคยชินกับการใช้ขวดพลาสติกแล้ว’ ในขณะที่มีสถิติจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Tearfund เปิดเผยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า ขยะพลาสติกที่ส่งผลต่อธรรมชาตินับกว่าครึ่งล้านตันใน 6 ประเทศกำลังพัฒนา ถูกทิ้งจากโคคา-โคลา เป๊ปซี่ และเนสเล่ ในทุกๆ ปี
“บริษัทผู้ปล่อยขยะพลาสติกเสียอันดับต้นๆ ของโลกพวกนี้ อ้างว่าพวกเขาพยายามอย่างยิ่งในการลดการใช้พลาสติก เพื่อแก้ปัญหามลพิษจากขยะพลาสติก แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับผลิตขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้งออกมาเรื่อยๆ พวกเขาควรจะหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของพวกเขา” เอมมา พรีสต์แลนด์ (Emma Priestland) ผู้ประสานงานโครงการ Break Free From Plastic ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian
จากงานศึกษาวิจัยใน ค.ศ.2017 ที่เปิดเผยบนเว็บไซต์ Science Advances บอกว่า 91 เปอร์เซ็นต์ของขยะพลาสติกไม่สามารถรีไซเคิลได้ และขยะพลาสติกเหล่านี้ได้ถูกทำลายด้วยการเผาในลานทิ้งขยะ หรือไม่ก็ตามพื้นที่ทางธรรมชาติ ในขณะที่รายงานจากผลการตรวจสอบแบรนด์ เปิดเผยว่า ขยะส่วนใหญ่ที่พวกเขาพบ มักเป็นซองขยะชิ้นเล็กๆ มากมาย เช่น ซองซอสมะเขือเทศ ซองกาแฟ ซองแชมพู ตามมาด้วยก้นบุหรี่ และขวดพลาสติก
ทางด้านโคคา-โคลาอ้างว่า พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจในการหาทางลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์เพื่อลดจำนวนขยะพลาสติกลง โดยพวกเขาได้ออกแถลงการณ์ว่า “ในระดับโลก พวกเรามีความตั้งใจจะนำขวดพลาสติกทั้งหมดกลับคืนมาภายใน ค.ศ.2030 เพื่อที่จะไม่ให้มันไปลงเอยอยู่ตามท้องมหาสมุทร และเรากำลังหาทางให้ขยะพลาสติกพวกนี้สามารถรีไซเคิลได้” โคคา-โคลา ได้แถลงเพิ่มเติมว่า “ขวดของเราที่สามารถรีไซเคิลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ถูกใช้อยู่ใน 18 พื้นที่ทางตลาดของเราทั่วโลก และเรากำลังจะขยายมันขึ้นอีก”
ในขณะที่เป๊ปซี่ได้ออกแถลงการณ์ว่า พวกเขาได้เริ่มลงมือในการลดขยะผ่าน ‘หุ้นส่วน นวัตกรรม และการลงทุน’ โดยพวกเขามีแผนจะลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ในธุรกิจของพวกเขาลง 35 เปอร์เซ็นต์ ภายใน ค.ศ.2025 และพวกเขากล่าวเสริมว่า พวกเขาได้ลงทุนไปแล้วกว่า 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.96 พันล้านบาท) เพื่อที่จะเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างและการเก็บพลาสติกมารีไซเคิลใหม่ เช่นเดัยวกับทางเนสเล่ที่ออกแถลงการณ์ว่า “เรากำลังจะพัฒนาในบรรจุภัณฑ์ของเรา ให้มันสามารถรีไซเคิลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน ค.ศ.2025”
คงต้องรอดูท่าทีจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ต่อไปว่า พวกเขาได้มีความพยายามในการลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่จะก่อให้เกิดขยะพลาสติกเสียมากขึ้นหรือน้อยลง อย่างไรก็ดี จากรายงานของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเปิดเผยว่า มีขยะพลาสติกถูกทิ้งลงทะเลกว่า 10 ล้านเมตริกตันในทุกๆ ปี และขยะเหล่านี้ได้ส่งผลเสียต่อสัตว์ในทะเล มลพิษในน้ำและบนบก ตลอดจนภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลกเราที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/business-51197463
https://advances.sciencemag.org/content/3/7/e1700782.full
https://blogs.ei.columbia.edu/2020/02/20/plastic-production-climate-change/
#Brief #TheMATTER