ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแส #Saveบางกลอย ซึ่งเป็นพื้นที่บอกเล่าเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มชาติพันธ์ุในอดีต ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมปริศนาที่มีหลายคนเชื่อมโยงว่าอาจเกิดจากปัญหาในครั้งนั้น
เรื่องราวเป็นมายังไง The MATTER ขอสรุปมาให้ฟังกัน
- จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มีมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2538 เมื่ออุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเจรจาขอให้ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บางกลอยบน หรือใจกลางแผ่นดิน ในเขตป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ย้ายลงมาอยู่ที่บางกลอยล่าง แต่ชาวกะเหรี่ยงบางส่วนไม่สามารถทำมาหากินในพื้นที่ใหม่ได้ เพราะเป็นพื้นหิน ไม่เหมาะกับการทำเกษตร และบางส่วนไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน ชาวบางกลอยจึงอพยพกลับไปอาศัยยังที่เดิม
- จนในช่วงปี พ.ศ.2553-2554 ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เริ่ม ‘ยุทธการตระนาวศรี’ ดำเนินการโดยชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ภายใต้ยุทธการณ์ดังกล่าว อพยพชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บางกลอยบน (ใจแผ่นดิน) ให้ออกจากพื้นที่ โดยมีการเผาทำลายที่อยู่อาศัย และโรงเก็บของของชาวบางกลอย จนกลายคนต้องหนีลงมาอยู่บางกลอยล่าง
- ไม่เพียงแต่โดนอพยพออกจากหมู่บ้านดั้งเดิมด้วยความไม่เต็มใจ แต่ชาวบ้านหลายคนยังถูกกล่าวหาว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธ และมีการดำเนินการทางกฎหมายต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ชาวบางกลอยรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ‘ปู่คออี้’ หรือโคอิ มีมิ ชายชราอายุกว่า 100 ปี ผู้นำทางจิตวิญญาณชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจึงออกมาเรียกร้องสิทธิ และเป็นผู้ริเริ่มการฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานที่สั่งการเผาไล่รื้อบ้านเรือน
- ในการฟ้องร้องครั้งดังกล่าว มีบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ หลานชายเป็นพยานในคดี ซึ่งภายหลังบิลลี่ได้หายตัวไปในปี พ.ศ. 2557 โดยมีพยานระบุว่า เห็นบิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับตัวไป และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นเขา ก่อนที่จะมีคนพบโครงกระดูกของบิลลี่ในถังน้ำมันเมื่อปี พ.ศ.2562 (สรุปเหตุการณ์การหายตัวไปของบิลลี่ พอละจี ตามอ่านได้ที่ : https://thematter.co/brief/recap/recap-1567497600/84145 )
- สำหรับผลของการฟ้องคดีเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจานเผาบ้าน และโรงเก็บของ ศาลปกครองมีคำสั่งตัดสินในปี พ.ศ.2559 พิพากษายกฟ้องชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องไม่มีสิทธิอยู่อาศัยยังพื้นที่นั้น เพราะไม่ใช่ชุมชนดั้งเดิม และการรื้อที่อยู่อาศัย เป็นไปตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ แต่ศาลมีคำสั่งให้กรมอุทยานฯ จ่ายค่าชดเชยทรัพย์สินผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ คนละ 10,000 บาท แม้ภายหลังชาวกะเหรี่ยงจะยื่นอุทธรณ์ขอกลับไปอยู่ที่เดิม แต่ศาลได้ยกคำร้องดังกล่าว
- ชาวกะเหรี่ยงยังคงต่อสู้ในการทวงคืนพื้นที่ต่อไป โดยมีการยื่นอุทธรณ์ต่อในศาลปกครองสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งในปี พ.ศ.2561 ศาลปกครองตัดสินว่า เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการไล่ที่โดยการเผาทำลายที่อยู่อาศัย และการรื้อพื้นที่ทำมาหากินเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินเหตุ ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งให้กรมอุทยานฯ ชดเชยให้ผู้ฟ้อง 6 คน รวมกว่า 300,000 บาท โดยศาลระบุว่า แม้เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติงานโดยใช้อำนาจตาม ม.22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แต่ไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติงานโดยพลการ
- ขณะเดียวกัน ศาลก็ไม่อนุญาตให้ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยกลับไปอยู่อาศัยยังพื้นที่เดิม เนื่องจากไม่มีหนังสือรับรองสิทธิจากรัฐฯ
- เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 ชาวบ้านบางกลอย 23 คน เดินทางมาเข้าร่วมงานเสวนาโค้งสุดท้ายกลุ่มป่าแก่งกระจานสู่มรดกโลก พร้อมทั้งยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ผ่านสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ในหนังสือได้ระบุข้อเรียกร้อง 3 ประการ ได้แก่
– เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาการจัดสรรที่ดินของชาวบางกลอยให้เสร็จสิ้น หลังจากที่กระบวนการถูกแช่แข็งมาอย่างยาวนาน โดยในปี พ.ศ.2539 รัฐบาลสัญญาว่าจะจักสรรที่ดินให้ประชาชนชาวบางกลอยให้ครอบครัวละ 7 ไร่ จำนวน 107 ครอบครัว อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เหตุการณ์ปี พ.ศ. 2554 มาจนถึงวันนี้ พื้นที่ที่ชาวบ้านได้รับจัดสรรจริง กลับมีขนาดเพียง 2-3 ไร่ และบางรายยังไม่ได้รับ อีกทั้งที่ดินยังไม่เหมาะแก่การประกอบอาชีพเกษตรกร
– ชาวบ้านบางกลอยขอกลับไปทำไร่หมุนเวียนเช่นเดิม ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทย
– ชาวบ้านบางกลอยบางส่วนต้องการกลับไปอยู่พื้นที่อยู่อาศัยเดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีเดิมเหมือนที่ผ่านมา
- พงศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ชาวบ้านบางกลอย เปิดเผยในงานเสวนาว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านบางกลอยต้องย้ายมาอยู่ในพื้นที่จัดสรรใหม่ ทำให้วิถีชีวิตดั้งเดิมถูกลบล้างไป ในขณะที่วิถีชีวิตแบบใหม่ที่รัฐบาลพยายามตีกรอบให้ชาวบางกลอยปรับตัวก็ไม่สามารถอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตได้
- นอกจากนี้เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564 ได้มีการจัดงานเวทีสาธารณะออนไลน์ ‘จากกะเหรี่ยงบางกลอย ถึงอนาคตกฎหมายคุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์’ ซึ่งดำเนินการโดย The Acive ร่วมกับ ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และภาคีเครือข่าย
- งานดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อสะท้อนปัญหาที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยต้องเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอภิสิทธิ์ เจริญสุข หนึ่งในตัวแทนชาวบ้านบางกลอย เปิดเผยว่า ชาวบางกลอยว่า 50 คน ตัดสินใจเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม เนื่องจากพื้นที่ที่รัฐจัดสรรให้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามที่รัฐให้คำมั่นสัญญา เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
- นอกจากนี้ สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้นำภาพแผนที่กรมทหารปี พ.ศ.2455 มาเปิดเผย ซึ่งภาพแผนที่ดังกล่าวระบุว่า ‘บ้านใจแผ่นดิน’ เป็นชื่อระวางแผนที่ และมีการทำติดต่อมาหลายแผนที่ เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในการรับรู้ของภาครัฐมาตลอด นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าชาวบ้านบางกลอยไม่ใช่ผู้อพยพใหม่ แต่อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนมีการประกาศแก่งกระจานเป็นอุทยานแห่งชาติ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ผู้แทนเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี และผู้แทนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมใดๆ
อ้างอิงจาก
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/140746
https://www.thaipost.net/main/detail/87066
https://www.matichon.co.th/politics/news_2544381
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2545165
https://prachatai.com/journal/2021/01/91350
#Brief #TheMATTER