บิลลี่ พอละจี นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง หายตัวไปนาน 5 ปี ล่าสุดเจ้าหน้าที่พบโครงกระดูกของเขาใกล้ถังน้ำมัน ในสภาพที่ถูกเผาอำพราง ท่ามกลางปริศนาว่าใครเป็นคนฆ่า?
สังคมไทยมีคดีผู้ถูกบังคับให้สูญหายหลายคดี นอกจากคดีอุ้มหาย ทนาย สมชาย นีละไพจิตร แล้ว อีกคดีที่เงียบงันมานานหลายปีคือคดีของ ‘บิลลี่’ พอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยง นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปนานหลายปี
ล่าสุดวันนี้ DSI ได้แถลงยืนยันว่าพบ ‘โครงกระดูกมนุษย์’ ที่ถูกซุกอยู่ในถังน้ำมันในพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และเป็นของนักเคลื่อนไหวที่หายตัวไป
เกิดอะไรขึ้นกับบิลลี่? คดีการถูกบังคับให้สูญหายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? The MATTER สรุปไล่เรี่ยงประเด็นเอาไว้ให้ตามนี้นะ
1.) บิลลี่ พอละจิ รักจงเจริญ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และเป็นหลานชายของ ‘ปู่คออี้’ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงในผืนป่าแก่งกระจาน จังหวัด เพชรบุรี เขาเติบโตขึ้นมาโดยเป็นที่ไว้วางใจของคนในหมู่บ้านในเรื่องการช่วยต่อสู้เพื่อสิทธิของชุมชน
2.) บิลลี่เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน และออกมาช่วยชาวบ้านในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพื่อเรียกร้องถึงสิทธิชุมชน โดยหลายกรณีมันคือความขัดแย้งที่ชาวกะเหรี่ยงต้องสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ในประเด็นที่อยู่อาศัย-การไล่รื้อที่อยู่ของชาวบ้าน
โดยชาวกะเหรี่ยงกับรัฐนั้น มีเรื่องระหองระแหงกันในประเด็นที่ดินและที่อยู่อาศัยกันมาอยู่เสมอๆ
3.) หนึ่งในกรณีสำคัญ คือ การที่เขาเตรียมจะฟ้องร้องเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้ามารื้อที่อยู่อาศัยและทำให้ทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัวต้องเสียหายไปเมื่อปี 2554
“พี่บิลลี่เคยบอกว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเดินทางออกมาจากป่าเด็งมาถึงบางกลอยแล้วเขาหายไป ไม่ต้องเป็นห่วงเขานะ ไม่ต้องตามหาเขานะ ให้รู้เลยว่าเขาถูกฆ่าตาย เขาพูดให้ฟังนะ เพื่อนสนิทเขาก็พูดให้ฟังอย่างนี้” มึนอ-พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่เคยเล่าเอาไว้
4.) บิลลี่หายตัวไปในวันที่ 17 เมษายน 2557 เช้าวันนั้นเขาเดินทางออกจากหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย เพื่อไปตัวอำเภอแก่งกระจาน พยานที่พบเห็นบิลลี่เป็นครั้งสุดท้าย ระบุว่า เขาเห็นบิลลี่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับกุมตัวไป แต่ไม่รู้ว่าพาไปไหนต่อ
5.) รายงานของ ThaiPBS ระบุว่า ในวันต่อมา ผู้ใหญ่บ้านบางกลอยได้เข้าแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ตรวจสอบพบว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเอาไว้จริง แต่ก็ได้ปล่อยตัวไปแล้วตามปกติ
“ต่อมาพนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่านายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำตัวบิลลี่ไปและยอมรับว่า ควบคุมตัวบิลลี่ไว้จริง โดยให้เหตุผลว่าบิลลี่มีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองจึงเรียกไปตักเตือนแต่ได้ปล่อยตัวไปแล้ว” รายงานของ ThaiPBS ระบุ
6.) หลังจากบิลลี่หายตัวไป ทางครอบครัวก็ได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ ให้กับบิลลี่ ทั้งไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี รวมถึงยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ให้ไต่สวนกรณีควบคุมตัวบิลลี่ขัดกับหลักกฎหมาย (ในตอนนั้นครอบครัวเชื่อว่า บิลลี่ยังมีชีวิตอยู่แต่ถูกควบคุมตัวเอาไว้) อย่างไรก็ดี ศาลได้ยกคำร้องเรื่องการควบคุมตัวบิลลี่ไปในวันที่ 2 กันยายน 2557
7.) หลังจากนั้น การหายตัวไปของบิลลี่ก็ยังไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าที่ควร แต่ทางครอบครัวก็ยังไม่ยอมแพ้ และพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบิลลี่อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ภรรยาของบิลลี่ที่เดินทางไปยื่นหนังสือต่อองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมไปถึงองค์กรและสถานทูตต่างประเทศ
“หนูไปยื่นหนังสือหลายครั้งจนจำไม่ได้ น่าจะมากกว่า 10 ครั้ง ไปหลายที่ด้วย ยูเอ็นก็เคยไปสถานฑูตเยอรมันก็เคยไป ที่สถานฑูตเยอรมันไปมาแล้ว 2 ครั้ง ไปเรียกร้องว่าคดีไม่คืบหน้า ก็ไปขอให้เขาช่วยกระตุ้นให้หน่อย ให้ผลักดันให้หน่อย” Thaipublica รายงานถึงคำพูดของมึนอ
8.) จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2561 เมื่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ได้รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ไปเป็น ‘คดีพิเศษ’ ขณะที่องค์กรภาคประชาชน และภาคประชาสังคมก็ยังคงจับตาการสอบสวนคดีนี้อย่างต่อเนื่อง
องค์กรด้านสิทธิเรียกการสูญหายไปของบิลลี่ว่าเป็น ‘การถูกบังคับให้สูญหาย’ (forced disappearance) ซึ่งมีนัยของการที่บุคคลหนึ่งถูกอุ้มหายไปจากสังคม ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมรูปแบบหนึ่งที่ร้ายแรง
9.) ในเวทีเสวนาหัวข้อ ‘คนก็หาย กฎหมายก็ไม่มี’ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมปีนี้ มีข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยออกมาว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบวัตถุบางอย่างในอุทยานแก่งกระจาน ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงไปถึงการหายตัวไปของบิลลี่ได้
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มานะ เพิ่มพูล บอกว่า อุทยานฯ ได้รับทราบถึงหลักฐานชิ้นใหม่นี้แล้ว ซึ่งข้อมูลที่พอจะให้ได้ก็คือ เป็นหลักฐานที่ค้นพบแถวๆ สะพานแขวน ซึ่งจุดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของแก่งกระจาน
10.) การแถลงข่าวของ DSI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อบ่ายวันนี้ (3 กันยายน) ได้ยืนยันว่า พบกระดูกมนุษย์ใกล้ถังน้ำมัน โดยกระดูกส่วนที่เป็นกระโหลกนั้นมีรอยไหม้และรอยแตกร้าว
เจ้าหน้าที่ยืนยันด้วยว่า กระดูกนี้เป็นของบิลลี่จริงๆ เพราะได้ตรวจสอบ DNA จากกระดูกแล้วเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเขาตายเพราะสาเหตุอะไร “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี” เจ้าหน้าที่กล่าวในงานแถลงข่าว
11.) ตอนนี้ที่เรารู้แล้วคือ กระดูกเป็นของบิลลี่ แต่ยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการตายได้ เช่นเดียวกับการยังไม่สามารถฟันธงในคำถามสำคัญได้ว่า ใครเป็นคนฆ่าบิลลี่?
ด้านอธิบดี DSI พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง ย้ำว่า นี่คือคดีฆาตกรรม แต่กระดูกที่พบยังไม่ใช่หลักฐานที่เพียงพอในการชี้ตัวคนร้ายได้ จึงขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนเพิ่มเติม
12.) คดีการหายสาบสูญของบิลลี่ สะท้อนให้เราเห็นความน่ากลัวของการอุ้มคนให้หายไปจากสังคม เป็นบทเรียนที่เราได้เข้าใจเช่นเดียวกับการหายตัวไปของทนาย สมชาย นีละไพจิตร
13.) หลายปีมานี้ มีความพยายามจากภาคประชาชนที่ผลักดันกฎหมายชื่อว่า ‘พ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหาย’ เพื่อแก้ปัญหาอย่างบิลลี่และทนายสมชาย (รวมถึงคนที่สูญหายไปอีกหลายต่อหลายคน) เนื้อหาสำคัญๆ เช่น การกำหนดโทษ นิยามการทำให้คนสูญหายให้ชัดเจน สร้างหลักประกันด้านสิทธิให้กับผู้ต้องสงสัย เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกทำร้ายระหว่างควบคุมตัว
หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการนำคนผิดมาลงโทษ และคุ้มครองสิทธิที่ผู้ต้องสงสัยควรจะมี และอุดช่องโหว่ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐทำผิดหรือละเมิดสิทธิในชีวิตของผู้ต้องสงสัย
อ้างอิงจาก
https://news.thaipbs.or.th/content/283671
https://news.thaipbs.or.th/content/283675
https://prachatai.com/journal/2018/04/76397
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2856315
https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_209009
https://thaipublica.org/2017/04/polajee-rakchongcharoen-or-billy/
https://waymagazine.org/lost_person/
#recap #TheMATTER