1.
“เขาไม่ได้ฆ่า เพราะเป็นบ้า หรือมีวัยเด็กที่เลวร้าย แต่ทำเพราะมันเพลิดเพลิน เหมือนคนติดยา รู้สึกเป็นสุขที่ได้เสพมัน”
จอช ฮอลมาร์ก (Josh Hallmark) รู้ตัวว่ามาผิดทาง เมื่อกูเกิ้ลแมป พาเขามุ่งหน้าสู่ถนนลูกรัง รอบข้างมีแต่ป่า แม้จะเป็นระยะทางที่ใกล้บ้านกว่าปกติ แต่ขณะนี้มันมืดค่ำแล้ว โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ รถราก็ไม่มีคันใดขับสวนมา และมีเพียงแสงไฟ จากรถที่เขาเช่าเท่านั้น
เขาสัญญากับคนรักว่าจะกลับบ้านก่อนมืด แต่ตอนนี้ราตรีห่มคลุม จอชยังงมหาทางกลับอยู่เลย เจ้าตัวนึกอยากเขกกะโหลกตัวเอง พระอาทิตย์ลาลับ เขาเหนื่อยล้าอย่างมาก แล้วก็ดันเลี้ยวผิดทางอีกด้วย
เรื่องเล่าเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง ผุดเข้ามาในหัว นักฆ่าสุดโหด มักจะมองหาเหยื่อที่ขับรถออกนอกเส้นทางปกติ ลงท้ายที่ความตายของผู้โชคร้ายซึ่งเลี้ยวผิดทางเสมอ
จอช เหลือบมองกระจกหลังโดยพลัน ตอนนี้ไม่มีรถขับตาม แต่ขนที่ท้ายทอยเขาลุกซู่ เพราะหนังสยองขวัญมากมาย มักจะจำลองฉากสุดหลอน ตรงกับสถานการณ์ที่เจ้าตัวกำลังเจออยู่ในขณะนี้
ชายหนุ่มเหยียบคันเร่ง เพื่อเพิ่มความเร็ว แม้จะรู้ตัวว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่เพราะความกลัว และความหลอน อาจจะมีนักฆ่าดักอยู่ข้างทาง เพื่อลักพาตัวคนที่ขับรถผ่านมาก็เป็นได้
ทันใดสะดุ้ง
ที่กระจกมองหลัง ก็ปรากฏแสงไฟจากรถคันหนึ่งโผล่ขึ้น ดูเหมือนรถปริศนานี้ จะขับจี้เข้ามาเรื่อยๆ
ถนนลูกรังแห่งนี้ ไม่อาจเพิ่มความเร็วไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ เพราะเส้นทางไม่ได้ราบเรียบแบบถนนไฮย์เวย์ปกติ แต่จอชก็เร่งความเร็วให้มากที่สุด
ดูเหมือนรถคันหลังจะไม่คิดแซง แต่ขับจี้มาใกล้ๆ ตามมาเรื่อยๆ ไม่มีการลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
เรื่องราวทุกอย่างที่จอชคิด เป็นไปในแง่ร้าย ฆาตกรต่อเนื่อง นักฆ่าโรคจิต อาชญากรสุดเหี้ยม พุ่งเข้ามาในห้วงคิดของชายคนนี้
หรือเขาอาจจะตกเป็นเหยื่อ
รถคันหลังขับจี้มาเรื่อยๆ ใกล้มากกว่าเดิม ใกล้ขึ้น และใกล้ขึ้น
2.
คนรักของจอชฟังเรื่องราวนี้ด้วยความตกใจ และย้ำห้ามชายหนุ่มขับรถไปไหนมาไหนแบบนี้ ตอนกลางคืนเด็ดขาด
“เราขับตามกันมาสัก 5 นาทีได้ แต่มันช่างยาวนานเหมือนครึ่งชั่วโมงเลย”
แม้จะผ่านไปเป็นเดือน จอชก็ยังหวาดผวากับเหตุการณ์นี้ เพราะสิ่งที่เขาศึกษา และงานอดิเรกที่เขาทำ มันฝังลึกและหลอนชายหนุ่มกับคนรักอย่างมาก
จอชไม่ควรจะต้องเดินทางแบบนั้น แต่เขากลับทำ
เพราะชายหนุ่มใช้เวลาหลายร้อยชั่วโมง ศึกษาเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่ง แล้วออกตามรอยปีศาจตนนี้ ย้อนดูจุดเกิดเหตุ เส้นทางการฆ่า เพื่อจะหาว่ามีเหยื่อเพิ่มกว่าที่แจ้งหรือไม่
จอชเผยกับนักข่าวว่า เขาสามารถหางานอดิเรกอื่นที่ธรรมดาได้ แต่เจ้าตัวกลับหมกมุ่นเรื่องนี้ แม้คืนที่มีรถคันหลังขับจี้จะทำให้เขาสยอง เพราะเมื่อเราดูวิธีการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่อง ก็จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มเผชิญ ใกล้เคียงอย่างมาก กับการที่เขาจะตกเป็นเหยื่อนักฆ่าเหล่านี้
แต่เขาก็ยังทำ เพราะมันเป็นงานเสริมที่คนในอเมริกาชอบ จอชไม่ใช่คนเดียวที่ออกตามรอยฆาตกรต่อเนื่อง เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนลึกกว่าที่เจ้าหน้าที่ค้นพบ
ทางการเรียกพฤติกรรมของจอชว่า นักสืบพลเมือง (Citizen detectives) ซึ่งมีส่วนในการไขคดีมากมายที่ตำรวจละเลยหรือคาดไม่ถึง
“อะไรดลใจให้คุณมาทำแบบนี้”
จอชมองหน้านักข่าว ไม่นานคำตอบก็ปรากฏขึ้น
3.
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2012 คนในรัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา ต่างหวาดผวา เมื่อสื่อประโคมข่าวการหายตัวไปของซาแมนธา เคนิก (Samantha Koenig) วัย 18 ปี บาริสต้าสาว ซึ่งโดนคนร้ายลักพาตัวในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แม้ตำรวจจะปูพรมล่า แม้ชาวเมืองจะช่วยกันหาตัว
แต่ไม่มีใครพบเธอ
อย่างไรก็ดี ทางสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ ซึ่งรับผิดชอบคดีการลักพาตัวได้เชื่อมข้อมูลของหญิงสาวไปทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่พบข้อมูลการถอนเงินจากบัตรเอทีเอ็มของซาแมนธา ที่รัฐเท็กซัส ซึ่งอยู่ห่างจากอลาสกาไปกว่า 4 พันกิโลเมตร
ตำรวจดูวงจรปิดจากตู้เอทีเอ็ม เห็นชายคนหนึ่งปิดบังใบหน้าขณะกดเงินสด นั่นทำให้ทางการของรัฐเท็กซัสตื่นตัว และขอข้อมูลทุกอย่างจากรัฐอลาสกา เพราะคาดว่าคนร้ายน่าจะหนีมากบดานที่นี่
กินเวลาไม่นานวันที่ 13 มีนาคม ปี 2012 หรือ 42 วันหลังซาแมนธาหายตัวไป ตำรวจรัฐเท็กซัส พบรถของหญิงสาว กำลังขับเข้าไปที่ลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ระดมกำลังมาที่รถคันนี้ทันที เพื่อเรียกคนขับลงมา เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาว เมื่อค้นในรถ ก็พบบัตรประชาชนของซาแมนธา บัตรเดบิต มือถือ และปืน
เอฟบีไอจึงพาตัวชายคนดังกล่าว เข้าห้องสอบปากคำทันที ไม่นานเขาก็รับสารภาพว่า ได้ใช้ปืนจี้ซาแมนธา จากร้านกาแฟ พาไปข่มขืน และรัดคอ ก่อนชำแหละศพทิ้งที่อลาสกา
แต่ไม่รู้เพราะย่ามใจหรืออย่างไร ผู้ก่อเหตุกลับไม่ได้ทิ้งรถ ไม่ทิ้งทรัพย์สินเหยื่อที่ปลิดชีพ แถมยังขับรถคนตายไปทั่วอเมริกา จนโดนจับกุม
ยิ่งคุยกับเจ้าหน้าที่ ชายคนนี้ก็เล่าเรื่องราวมากมาย อันเป็นปกติของฆาตกรต่อเนื่อง ที่มองการฆ่าเป็นเหมือนรางวัลชีวิต เกียรติยศสุดวิปริต
“ผมศึกษารูปแบบการก่อเหตุจากฆาตกรต่อเนื่องระดับตำนานมาแล้ว”
ในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สรุปได้ว่า ชายคนนี้เป็นนักฆ่าสุดโหด ที่มีความพิถีพิถันในการก่อเหตุ เขาชี้จุดที่ฝังร่างซาแมนธา เมื่อค้นทุกอย่างแบบละเอียด ก็พบภาพนิ่ง ซึ่งผู้ก่อเหตุเปิดเปลือกตาหญิงสาว แล้วถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะชำแหละร่าง โยนทิ้งทะเลสาบ
นี่ยิ่งกว่าความบ้าคลั่ง เมื่อชายคนนี้เล่าเรื่องราวมากมาย เอฟบีไอก็สรุปได้ว่า
“เขาไม่ได้เป็นบ้า ไม่ได้มีวัยเด็กสุดเลวร้าย แต่ที่เขาฆ่า ก็เพื่อความเพลิดเพลินใจต่างหาก”
ชื่อของปีศาจรายนี้ คือ อิสราเอล คีย์ส (Israel Keyes)
4.
คียส์เกิดในรัฐยูทาห์ ในปี 1978 เป็นลูกคนที่ 2 จากพี่น้อง 10 คน เขามีชีวิตความเป็นอยู่สุดลำบาก พ่อแม่แสนยากจน เมื่ออายุได้ 12 ปี เด็กหนุ่มกลับสนใจกลุ่มติดอาวุธคลั่งผิวขาวต่อต้านคนยิว ชอบปืน และเริ่มขโมยของจากเพื่อนบ้าน ชอบจุดไฟเผา ฆ่าสัตว์เล็ก ทรมานแมว โดยการมัดไว้กับต้นไม้ แล้วเอาปืนลูกโม่กระหน่ำยิง นอกจากนี้คียส์ยังบูชาซาตานอีกด้วย
การกระทำเหล่านี้ เป็นเชื้อเพลิงสุดวิปริตอย่างดี ในการก้าวไปเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
“ผมชอบล่าอะไรก็ได้ เพราะมันทำให้หัวใจเต้นแรง”
ชายหนุ่มบอกเอฟบีไอว่า เขาก่อเหตุครั้งแรกด้วยการข่มขืนเหยื่อ ในช่วงระหว่างปี 1996 ถึง 1998 เป็นเด็กหญิงอายุ 14 ถึง 18 ปี
“เมื่อคุณได้เริ่มฆ่า ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไรเทียบเทียมความรู้สึกนี้ได้”
ด้วยความหมกมุ่นในปืนและลัทธิคลั่งขาว เขาจึงสมัครเป็นทหารบก ก่อนปลดประจำการในปี 2001 เมื่อได้ทักษะการฆ่าจากกองทัพ เขาจึงเริ่มออกล่าเหยื่อหญิงสาว มาข่มขืน มาย่ำยี มาสังหารโหด
ชายหนุ่มสารภาพว่าได้ฆ่าคนไปถึง 11 ศพ ตลอดการเดินทางไปทั่วอเมริกา เพื่อทำงานก่อสร้าง โดยเส้นทางการลงมือเหี้ยม ยังพบว่าเขาไปฮาวาย เม็กซิโก และแคนาดาด้วย
อย่างไรก็ดีนักฆ่าคนนี้มีแฟนสาว มีลูกสาว มีครอบครัวอบอุ่น อีกด้านเหมือนคนปกติ แต่ตัวตนภายใน ราวกับอสูรกายที่ทำงานแบบพิถีพิถันอย่างยิ่ง
ก่อนจะลงมือนั้น คียส์มีกฎที่ยึดไว้เสมอ คืออยู่ที่ไหน จะไม่ฆ่าที่นั่น ถ้าอยู่เมืองนี้ ต้องไปหาเหยื่อฆ่า ณ เมืองอื่น โดยเขาจะฝังเครื่องมือก่อเหตุไว้ทั่วประเทศ เมื่อนึกอยากสังหารใคร ก็จะไปขุดเอาเครื่องมือนั้นมาใช้
แม้จะลอยนวลมานับสิบปี แต่ถึงจุดหนึ่ง คียส์ก็ทำพลาด การลักพาตัวซาแมนธานั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ชายหนุ่มอยู่ในอลาสกา แถมยังขับรถเหยื่อไปทั่ว จนนำไปสู่จุดจบ โดนจับกุมได้สำเร็จ
แน่นอนว่าลูกขุนตัดสินจำคุกเขาในเรือนจำ ทางอัยการและเอฟบีไอ ซึ่งอัดบทสัมภาษณ์เขา เพื่อหวังว่าชายหนุ่มจะปริปากว่าฝังศพเหยื่อไว้ที่ไหนบ้าง แต่คียส์ไม่บอกข้อมูลอะไรมาก แต่ย้ำว่าวิธีการเลือกว่าใครจะถูกฆาตกรรมนั้น มาจากการสุ่ม ไม่มีรูปแบบตายตัว เพราะไม่อยากให้ทางการรู้รูปแบบการก่อเหตุ
“จิตใจสุดวิปลาสนั่นแหละ ที่ขับดันให้เขาลงมือฆ่า”
ขณะที่ทางการพยายามสืบหาเบาะแสว่าเหยื่อของคียส์มีใครบ้างนั้น ในวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2012 ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดรายนี้ ก็จบชีวิตตัวเองในคุก ซึ่งเขาถูกขังเดี่ยว โดยผู้คุมมาพบร่างวันถัดมา เขาใช้ใบมีดโกนใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเอามาฝังในแท่งดินสอ กรีดข้อมือซ้ายตัวเอง แล้วเอาผ้าปูเตียงผูกคอ
ที่ใต้เตียง เจ้าหน้าที่พบกระดาษ ถูกเขียนด้วยเลือด เป็นรูปกะโหลก จำนวน 11 อัน คาดว่าแทนเหยื่อที่คียส์สังหาร พร้อมกันนี้ยังมีบันทึก แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อเลย
ความตายของอิสราเอล ปิดฉากชีวิตปีศาจร้าย แต่เจ้าหน้าที่ยังต้องสืบสวนต่อ เพื่อหาว่าใครคือคนที่ถูกชายคนนี้ฆ่าบ้าง แต่เมื่อคดีหนึ่งจบไปด้วยความตายของฆาตกร คดีใหม่ก็เข้ามา ทำให้ทางการไม่มีเวลาและงบประมาณในการสืบเสาะเรื่องนี้ได้
จุดนี้เอง ทำให้จอช ฮอลมาร์ก ก้าวเข้ามา
5.
หลังคียส์ตาย เอฟบีไอได้ปล่อยข้อมูลการสืบสวน บทสัมภาษณ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับนักฆ่ารายนี้ต่อสังคม ช่วงเวลานั้น จอชได้เข้าไปอ่านเรื่องราวนี้ มันยิ่งทำให้เขาสนใจและสงสัย เมื่อค้นรายละเอียด เขาก็เห็นถึงประเด็นคำถามที่น่าสนใจในคดีนี้
“เรารู้ว่าฆาตกรคือผู้ใด แต่ไม่รู้ว่าเหยื่อมีใครบ้าง”
จอช ไม่เคยเรียนด้านวารสารศาสตร์ เขาอายุ 40 ปี ทำงานด้านการตลาด มีแฟน เป็นคนแคลิฟอร์เนีย ไม่เคยใช้ชีวิตบู๊ๆ แบบตำรวจ ไม่มีทักษะนักข่าว แต่เมื่อศึกษาเรื่องคียส์ แรงผลักดันบางอย่าง ทำให้เขานั่งอ่านข้อมูลนับพันหน้า ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายตามรัฐบัญญัติข้อมูลข่าวสาร จนเอฟบีไอต้องเปิดเผยข้อมูลในคดีนี้ทั้งหมด
ชายหนุ่มศึกษาเส้นทางที่ฆาตกรคนนี้เดินทางไปทั่วอเมริกา เขาสร้างไทม์ไลน์ เข้าไปดูศูนย์ข้อมูลคนหายแห่งชาติ แล้วดูว่าช่วงที่หายไปนั้น คียส์อยู่ใกล้หรือไม่
และนั่นทำให้จอช ก้าวเข้าสู่โลกแห่งนักสืบพลเมือง เหมือนกับคนอเมริกานับร้อยนับพัน ที่สนใจข่าวอาชญากรรม ฆาตกรต่อเนื่อง ก่อนลงมือสืบสวน เพื่อหาความจริง ค้นว่าผู้ต้องหาเป็นแพะ และเหยื่อมีใครบ้าง
จอชเป็นกลุ่มบุคคลหล่านั้น เขาเข้าสู่โลกแห่งการสืบสวน จนเดินทางไปทั่วอเมริกา แทบจะหลอนเพราะเรื่องพวกนี้อยู่ในหัวตลอด
แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนี้แตกต่างจากนักสืบพลเมืองคนอื่น นั่นก็คือ เขาระบุเหยื่อของคียส์ได้มากกว่าที่เจ้าหน้าที่เจอ จอชเอาข้อมูลที่พบ มอบให้กับเอฟบีไอ ทำเอาทางการถึงกับตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าประชาชนคนธรรมดา จะมีความพยายามหาข้อมูล คืนความจริงให้กับครอบครัวเหยื่อได้
“สิ่งที่เขาทำ เป็นงานที่สุดยอดมากๆ”
ไม่เพียงจะระบุเหยื่อของคียส์เท่านั้น จอชยังแยกอีกว่า ใครไม่ใช่ฝีมือของนักฆ่าคนนี้ด้วย เพราะเขาแทบจะรู้รูปแบบการก่อเหตุของฆาตกร เมื่อค้นคว้าไขความจริงมากเข้าเรื่อยๆ จอชก็ตัดสินใจ ทำพอดแคสต์ เล่าเรื่องในคดีนี้ ทั้งมุมของนักฆ่า และมุมของเหยื่อที่เขาประสบพบเจอมากกว่า 37 ตอน หรือ 4 ซีซั่นทีเดียว
“ตอนทำครั้งแรก ก็มะงุมมะงาหรา แต่ผมเห็นว่า พอดแคสต์แนวนี้ มีแต่เอาความจริงจากวิกีพีเดียมาเล่า ไม่มีการออกสืบเลย และผมไม่อยากทำแบบพวกนั้น”
แน่นอนว่าพอออกอากาศไป มีคนเข้ามาฟังเป็นจำนวนมาก จนเขาเลิกทำงานประจำ มาเอาดีจัดพอสแคสต์คดีนี้อย่างจริงจัง มีรายได้มากมาย แม้ช่วงแรกจะมีคนเข้ามาด่าว่าหากินกับคนตายบ้าง กับฆาตกรต่อเนื่องก็ตาม
ประเด็นนี้ เจ้าตัวชี้แจงว่า สิ่งที่เขาทำลงไป ไม่ใช่สนองต่อพวกคลั่งไคล้นักฆ่า แต่เป็นการเล่าเรื่องเพื่อให้สังคมเข้าใจปีศาจเหล่านี้ จะได้หาทางป้องกัน พร้อมกับช่วยคืนความจริงให้ครอบครัวเหยื่อ และช่วยทางการทำงานด้วย
ทุกวันนี้จอชมีรายได้มหาศาลจากการจัดพอดแคสท์ และเขาเอาเงินส่วนหนึ่งไปบริจาคกองทุนเอกชนที่ระดมเหล่านักสืบพลเมืองและสังคม ช่วยตามหาคนสูญหาย
ทางนักข่าวที่ทำข่าวจอช ได้ถามคำถามสำคัญว่า “อะไรดลใจให้คุณมาทำแบบนี้”
แน่นอนว่าพฤติกรรมก่อเหตุของคียส์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายหนุ่มออกตามล่าหาความจริง ในยามที่เจ้าหน้าที่หยุดสืบต่อ นักสืบพลเมืองอย่างจอช ไม่ย่อท้อ ไม่เหน็ดเหนื่อย ช่วยสังคมค้นหาความจริงที่แสนเลวร้ายมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ดีคำตอบจากคำถามนี้ มากไปกว่าความหมกมุ่นสนใจฆาตกรต่อเนื่องคนหนึ่งเท่านั้น เพราะจอช ฮอลมาร์ก ตอบไปว่า “หลายปีก่อน แม่และพี่ชายของญาติผมถูกฆาตกรรม นั่นทำให้ผมคิดถึงเขา และสิ่งที่เขาอยากให้ผู้คนมาสนใจคดีนี้”
“และคุณต้องเข้าใจอีกนะว่า การฆาตกรรม เหยื่อไม่ได้มีแค่คนถูกฆ่า หรือครอบครัวพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวของผู้ก่อเหตุด้วย เพราะอย่าลืมว่า คียส์มีลูกสาวนั่งอยู่ในรถ ตอนโดนจับกุมด้วย”
“ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมเริ่มเขียนบท เตรียมทำพอดแคสท์ ผมมักจะคิดถึงทุกฝ่ายเสมอ
เพราะพวกเขาเหล่านั้น คือคนที่ต้องอยู่กับฝันร้ายนี้ ไปตลอดกาล”
อ้างอิงจาก