พุทธรูปแห่งบามิยันเคยเป็นพุทธรูปที่สูงที่สุดในโลก ก่อนที่จะถูกระเบิดโดยกลุ่มตาลีบัน เมื่อ ค.ศ.2001 อย่างไรก็ดี ในวาระครบรอบ 20 ปี ชาวอัฟกานิสถานส่วนหนึ่งได้จัดกิจกรรมฉายรูป 3 มิติของพุทธรูปแห่งบามิยัน ทับลงบนซากปรักหักพังเดิม เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
พุทธรูปแห่งบามิยัน ในอัฟกานิสถานแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสศตวรรษที่ 6-7 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธยังคงส่งอิทธิพลในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ดี หลังจากที่ศาสนาอิสลามขยายอิทธิพลเข้ามายังบริเวณตะวันออกกลาง พุทธรูปบามิยันจึงกลายเป็นเพียงแค่โบราณสถาน และร่องรอยอารยธรรมทางพุทธศาสนาในพื้นที่ตะวันออกกลาง
แต่หลังจากที่ตาลีบัน ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ที่มีแนวคิดเคร่งศาสนาสุดโต่ง ได้เข้ายึดครองพื้นที่อัฟกานิสถาน ใน ค.ศ.2001 กลุ่มตาลีบันได้ตัดสินใจทำการระเบิดพุทธรูปแห่งบามิยันทิ้ง เนื่องจากการมีพุทธรูปนั้น ขัดต่อหลักความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่ห้ามไม่ให้มีรูปเคารพ การระเบิดดังกล่าวเหลือทิ้งเอาไว้แค่ซากปรักหักพังของพุทธรูปอายุนับพันไป ที่ไม่สามารถสร้างกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีก
อย่างไรก็ดี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (9 มีนาคม) พุทธรูปแห่งบามิยันความสูง 55 เมตร ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีการฉายภาพ 3 มิติ ลงบนซากพุทธรูปบนหินผา โดยกิจกรรมดังกล่าว มีชาวอัฟกานิสถานเข้าร่วมกว่าหลายร้อยคน “นี่คือช่วงเวลาของการรำลึกถึงสมบัติอันมีค่าที่พวกเราสูญเสียไป” กัลซูม ซาห์รา (Gulsoom Zahra) หนึ่งในผู้อาศัยแถวบามิยันให้สัมภาษณ์กับทาง AFP
กิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ระเบิดพุทธรูปแห่งบามิยัน ถูกจัดขึ้นภายใต้ชื่องานว่า ‘ค่ำคืนกับพุทธองค์’ โดยซาห์รา ฮัสไซนี (Zahra Hussaini) หนึ่งในผู้จัดงานระบุว่า ทางกลุ่มจัดงานรำลึกนี้ขึ้น เพื่อ “ไม่ต้องการจะให้ผู้คนลืมถึงเหตุอาชญากรรมอันน่าสลด ที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้” โดยผู้เข้าร่วมงานต่างถือตะเกียงไฟ ตลอดจนภายในงานยังมีการจัดการแสดงเต้นรำ อย่างไรก็ดี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของอัฟกานิสถานยืนติดอาวุธ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรมด้วย
ถึงแม้ว่าตาลีบันจะลงนามในสนธิสัญญาคืนสันติภาพ ให้แก่อัฟกานิสถานกับทางสหรัฐฯ ไปแล้ว แต่ผู้คนในแถบบามิยันยังคงหวาดเกรงต่อกลุ่มตาลีบัน ที่ไม่รู้ว่าจะกลับขึ้นมาสู่อำนาจเมื่อไหร่ “เรายังคงเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในอนาคต และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับมรดกทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนเราเองกลัวว่า ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยอีกครั้ง หากสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ตกไปอยู่ภายใต้กำมือของพวกกลุ่มหัวรุนแรง” ฮัสไซนีกล่าวเสริม
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER