บนโลกนี้มีคดีมากมายที่ศาลตัดสินคนผิดให้เป็นถูก และถูกให้เป็นผิด ซึ่งมันอาจเกิดขึ้นกับหญิงคนหนึ่ง ที่ศาลตัดสินให้เธอจำคุก 40 ปี จากความผิดฆาตกรรมลูก 4 คน อย่างไรก็ตาม หลังเวลาผ่านไป เริ่มมีหลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าคนฆาตกรในคดีนี้อาจไม่ใช่ผู้หญิง แต่อาจเป็น ‘ยีน’ ในร่างกายของเด็กๆ ที่สังหารพวกเขาเอง
แคธลีน ฟอลบิกก์ (Kathleen Folbigg) คือผู้หญิงที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุด’ ของประเทศออสเตรเลีย ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 40 ปี ในปี ค.ศ.2003 จากคำอ้างอิงว่าเธอสังหารทารกทั้ง 4 คน สิ่งที่น่าสังเกตนั้นคือเด็กทารกทั้ง 4 คน เสียชีวิตก่อนที่จะมีอายุถึง 2 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ศาลและทั้งโลกจะชี้ว่าเธอผิด แต่แคธลีนยืนยันว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมระบุว่าลูกๆ ของเธอนั้นเสียชีวิตจากโรค SIDS หรือโรคไหลตาย แต่ถึงเช่นนั้นศาลไม่อาจเชื่อถือเธอ เนื่องจากสมุดบันทึกของเธอเขียนไว้ว่า ลอร่า (Laura) ลูกคนสุดท้ายซึ่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 10 เดือนโดยไม่ระบุสาเหตุ นั้นจากไปด้วย “ความช่วยเหลือเล็กน้อย” แต่ภายหลังเธอให้การต่อศาลว่า เธอเจ็บปวด และสิ้นหวังในการเป็นแม่ และข้อความ “ความช่วยเหลือเล็กน้อย” เธอเขียนเพื่อวิงวอนต่อพระเจ้าให้พาลูกสาวเธอไปอย่างสงบ
และจากการตรวจสอบถึงสาเหตุเสียชีวิตของทารกทั้งหมด พบว่ามีทารก 2 คน คาเลป (Caleb) และซาราห์ (Sarah) ที่ระบุว่าเสียชีวิตจากโรคไหลตาย ในขณะที่แพททริค (Patrick) เป็นลมบ้าหมู และลอร่าที่ไม่ระบุสาเหตุ ซึ่งอัลเลน คารา (Allan Cala) หมอที่วินิจฉัยการเสียชีวิตของทารกกล่าวว่า เธอไม่เคยพบการเสียชีวิตของเด็กจำนวนมากขนาดนี้ในครอบครัวเดียวกัน และมันแทบจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
จากคำให้การต่างๆ ทำให้ศาลตัดสินสั่งจำคุกเธอเป็นเวลา 40 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 และในปีนี้นับเป็นปีที่ 18 แล้วที่แคธลีนอาศัยอยู่ในคุก แต่แล้วความหวังที่จะออกมาใช้ชีวิตปกติในวัย 53 ปีก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำกว่า 90 คน ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลถึง 2 คน ออกมาเปิดเผยว่า เธอไม่ได้เป็นผู้สังหารทารกน้อยทั้ง 4 คน พร้อมนำหลักฐานทางพันธุกรรมมาชี้ให้เห็นว่า เด็กๆ เสียชีวิตด้วยสาเหตุทางธรรมชาติ และเรียกร้องให้เธอได้รับการอภัยโทษ
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เด็กๆในครอบครัวฟอลบิกก์สุขภาพไม่ดี ลอร่า ทารกคนสุดท้ายที่เสียชีวิต ป่วยด้วยอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ และจากการชันสูตรพบว่าเธอมีอาการหัวใจอักเสบ หลักพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ทนายของแคธลีน ขอให้นักพันธุศาสตร์ตรวจสอบความเป็นไปได้ในการกลายพันธ์ุทางยีน ที่อาจเกิดขึ้นในครอบครัวฟอลบิกก์
คาโรลา วินูซา(Carola Vinuesa) นักภูมิคุ้มกันวิทยา จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ในเมืองแคนเบอร์รา และ ดร.โทดอร์ อาโซฟ (Todor Arsov) สมาชิกในทีม ตกลงทำภารกิจดังกล่าว ก่อนจะพบว่ายีนของแคธลีนมีการกลายพันธ์ุหายากที่เรียกว่า ‘CALM2’ ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ นำมาสู่การเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตอย่างกะทันหันในเด็กทารก
จากนั้นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้เก็บตัวอย่างเลือด และเนื้อเยื่อจากเด็กทารกทั้ง 4 คน ก่อนจะพบว่า ซาราห์และลอร่า มีการกลายพันธุ์เช่นเดียวกับแม่ของพวกเธอ หลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์และทนายได้ยื่นหลักฐานชิ้นสำคัญนี้ไปยังศาล เพื่อเรียกร้องให้มีการไต่สวนคดีอีกครั้ง แต่ดูเหมือนการฟื้นคดีจะไม่เป็นไปตามคาดหวัง
วินูซาและทนายพยายามส่งหลักฐานไปยังศาลอีกครั้ง แต่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2019 ผู้พิพากษาระบุว่าได้พิจารณาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว แต่พบว่าสมุดบันทึกของแคธลีนนั้นน่าสนใจกว่า และเขาไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความผิดของเธอ คำตัดสินดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับยีนของทารกอีก 2 คนที่เสียชีวิต คาเลป และแพททริค ก่อนจะพบว่ามีพันธุกรรมที่หายาก ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงกับโรคลมชัก
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์กว่า 90 คนตอบรับการลงนามเพื่อเรียกร้องให้มีการอภัยโทษแคธลีน เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าแคธลีนอาจตกเป็นเหยื่อของกระบวนการทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการสอบสวนอย่างรอบคอบ ศาสตราจารย์วินูซากล่าวว่า “เราจะดีใจอย่างยิ่ง หากแคธลีนได้รับการอภัยโทษ และนี่อีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่า ระบบกฎหมายควรยอมรับการพิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้แล้ว”
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/…/kathleen-folbigg-child-murder…
https://www.theguardian.com/…/kathleen-folbigg-how…