“เราเคยคิดว่า ถ้ารัฐไม่มาจับเขา ด้วยคดีเสรีภาพการแสดงออก ครอบครัวเราอาจจะยังอยู่กัน 4 คนพร้อมหน้า แต่ตอนนี้การต่อสู้ทางการเมืองก็กลายเป็นแผลขยายเข้ามาในชีวิตเราด้วย เป็นหน้าที่ของเราเช่นกันที่ต้องออกมาสู้”
ในขบวนเดินทะลุฟ้า นอกจากราษฎรมารดา ไม่ว่าจะเป็นแม่ของไผ่ จตุภัทร์, เพนกวิน พริษฐ์ และไมค์ ภาณุพงศ์ ในขบวนวันนี้ เทียน ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข ลูกสาวของสมยศ พฤกษาเกษมสุข 1 ในราษฎรที่อยู่ในเรือนจำ และไม่ได้รับการประกันตัว ก็เป็นหนึ่งคนที่มาเรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเรา หรือพ่อของเธอด้วย
ประกายดาวเล่าว่า นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่พ่อเข้าเรือนจำ ความรู้สึกของเธอจึงไม่ได้ช็อก หรือตกใจมาก “เรามีประสบการณ์แล้วด้วยมั้ง ก็เลยไม่ได้มีความรู้สึกตกใจขนาดนั้น อะไรที่ต้องทำ เราก็ทำตามขั้นตอน เราก็จัดการวางแผนตามขั้นตอนกับพี่ชาย เรื่องสู้คดี การคุยกับทนาย ค่าใช้จ่าย และแผนระยะยาว ไม่แน่ใจว่าครอบครัวอื่นเป็นยังไง แต่ของเราพี่ชาย กับเทียน ก็จะทำงานประจำก็เลยไม่ได้มีเวลามาร่วมกิจกรรมขนาดนั้น ถ้ามีเราก็จะมา มาร่วมรณรงค์ให้กับเขา”
สมยศ ไม่ใช่คนที่เพิ่งต่อสู้ทางการเมือง แต่มีประสบการณ์การต่อสู้มายาวนานหลาย 10 ปี ซึ่งเทียนก็มองถึงการต่อสู้ของพ่อว่า “เรามองว่ามันเป็นเหมือนอาชีพ เป็นชีวิตของเขาไปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนโต เราก็เห็นเขาสู้มาตลอด เราก็เคารพกับวิธีการคิด การตัดสินใจของเขาตลอด ถ้านับที่ต้องเข้าๆ ออกๆ รอบที่แล้ว รอบนี้ก็เป็นรอบที่ 3 แล้วที่เขาต้องเข้าเรือนจำ มันก็ไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพรส์ ช็อก เราก็รู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่เราต้องสู้ต่อไป”
“ตอนที่ติดรอบที่ 2 ก่อนรอบนี้ เราก็คุยกับพี่ชายว่าพ่อจะโดนไหม ตอนเห็นหมาย เราก็คุยกันว่า พ่อน่าจะโดนอีก แต่ที่เซอร์ไพรส์คือ รอบนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรใหญ่ ขึ้นเวทีน้อยมาก แค่ขึ้นรถแห่ และพูด”
“การต่อสู้มันเป็นโลกของพ่อ ที่มันเป็นโลกที่มีความหมาย มีอุดมการณ์ มีคุณค่า เมื่อเทียบกับชีวิตเราที่เป็นพนักงานออฟฟิศ ตื่นไปทำงาน กินข้าว มันก็น่าเบื่อ พอเราได้ลงไปอยู่กับพ่อ เราก็ได้รู้สึกว่า การทำสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ตัวเราเองและสังคมมีคุณค่า มันได้ขับเคลื่อน พัฒนาสังคม”
สำหรับการต่อสู้นี้ เทียนเล่าว่า ครอบครัวเองก็มีราคา และสิ่งที่เสียไปเช่นกัน “ในทางการเงิน ไม่ได้เสียหายเพราะพ่อไม่ได่มีลักษณะเป็นผู้นำครอบครัวด้านการเงิน เพราะแม่จะเป็นคนหาเงิน พ่อจะมีชีวิตของเขา แต่ถามว่าเสียอะไร อาจจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่เหมือนเดิม ถ้าไม่มีเหตุการณ์ติดคุก ถ้ารัฐไม่มาจับเขา ด้วยคดีเสรีภาพการแสดงออก เราเคยคิดว่า พ่อก็เป็นพ่อไปเรื่อยๆ แม่อาจจะไม่หย่า หรือมันก็อาจจะเป็นแบบเดิม อยู่กัน 4 คนในบ้าน ตอนนี้การต่อสู้ทางการเมืองก็กลายเป็นแผลขยายเข้ามาในชีวิตเราด้วย เป็นหน้าที่ของเราเช่นกันที่ต้องออกมาสู้”
“และเรามองว่าการที่คนมองว่าเป็นหน้าที่ จริงๆ เราควรเป็นพลเมืองที่ได้ตามความฝัน มีเสรีภาพในการเลือกเส้นทางตัวเองเต็มที่ บางคนมาบอกเราว่าก็ไปสิ จะมาสู้อะไร มันแปลว่าคุณไม่เข้าใจจุดยืนของเรา ถ้าเป็นแบบนั้น เราไม่ทำไรเลยก็ทำให้เราไม่มีคุณค่า”
เธอยังมองเช่นกันว่า เธอเห็นความไม่ยุติธรรมในกระบวนการ รวมถึงไม่เห็นด้วยกับ ม.112 ที่พ่อถูกดำเนินคดีเช่นกัน “เหมือนคำสมัยก่อนว่า สองมาตรฐาน มันก็ยังใช้ได้ตลอด พอเห็นข่าว เราก็ส่ายหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น และ ม.112
ตอนเรียนรู้ว่ามีสิ่งนี้ในประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมาย เราตกใจนะ เพิ่งรู้จักมันตอนที่พ่อโดน และเราก็คิดว่ามันล้าหลังมากๆ ไม่อยากเอาไปเทียบกับที่ไหนเลยจริง”
เทียนยังบอกเราอีกว่า การที่เธอไม่ตกใจ กับการถูกจับของพ่อ มันอาจจะดูเป็นเรื่องไม่ดี แต่ “ความตลกร้ายของคนไทย คือเวลาใช้คำว่าชินชามันดูไม่ดี แต่จริงๆ มันคือการพยายามดีลกับความรู้สึก เพราะถ้าไม่เป็นแบบนี้ก็จะเป็นอีกแบบไม่เลย คือเศร้า หลงทาง อย่างที่แต่ก่อนเป็นครั้งแรก อย่างที่ผ่านมาเราเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ เพราะรับกับเหตุการณ์ แต่ตอนนี้เราก็โตขึ้นแล้ว มันไม่ใช่การนิ่งเฉย มันคือการเรียนรู้ เราเติบโตขึ้นแล้ว เรียนรู้ที่จะไม่ร้องห่มร้องไห้”