ว่ากันว่านับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เป็นจังหวะที่โลก ‘ตื่นรู้’ กับวงการคริปโตเคอร์เรนซี และหลายคนเริ่มทำความเข้าใจกับมันว่า มันไม่ใช่แค่ตลาดเทรดเหรียญสกุลเงินดิจิทัล หรือมีแค่บิตคอยน์ แต่มันยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำๆ มากมายเบื้องหลัง ที่มีปลายทางคือการกระจายอำนาจทางการเงินให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมหากทำได้จริง
.
The MATTER เองก็เกาะติดกระดานคริปโตฯ มาสักระยะแล้ว วันนี้เลยขออาสาพาไปรู้จักกับอีกหนึ่งโทเคนที่กำลังมาแรง ณ ขณะนี้ ‘VET’ หรือ VeChain
.
VeChain คือบล็อกเชนบนแพลตฟอร์มสมาร์ท คอนแทร็ก ที่เน้นใช้งานกับ ‘ธุรกิจด้านการติดตาม Tracking สินค้าต่างๆ’ ซึ่งผลลัพท์ที่เห็นชัดเจนว่าบล็อกเชนนี้จะพัฒนาไปทำอะไรต่อไปในอนาคต ทำให้นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจและเชื่อมั่นมากว่าเหรียญนี้จะเติบโตอย่างมากในอนาคต
.
ซึ่งก่อนจะไปคุยถึงเจ้า VeChain เราขออธิบาย 2 คำก่อนจะไปต่อดีกว่า
.
บล็อกเชน (Blockchain) แปลตรงๆ คือการนำเอาข้อมูลแบ่งเป็นส่วนๆ (Block) ก่อนร้อยเข้าด้วยกันเป็นโซ่ (Chain) เป็นเทคโนโลยีการเงินที่ทำให้ผู้มีส่วนร่วมในระบบรับรู้ร่วมกันว่าธุรกิจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ใด ในรูปแบบการเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เปลี่ยนแปลงหรือปลอมแปลง รวมทั้งแก้ไขธุรกิจนั้นๆ ไม่ได้ เพราะทุกคนบนเครือข่ายจะเห็นการเปลี่ยนแปลงธุรกรรมนั้นพร้อมๆ กัน (เทียบกับกการทำธุรกิจแบบเดิมจะมีคนกลาง เช่น ธนาคาร ซึ่งเป็นคนนำเข้า-ออกเข้ามูล)
.
สมาร์ท คอนแทร็ก (Smart Contract) คือสัญญาอัจฉริยะ หรือการนำเอาเงื่อนไขสัญญาหรือการทำธุรกิจ มาเขียนเป็นโค้ดคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อมีการทำธุรกิจ ระบบจะตรวจสอบข้อตกลงอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนกลางคือพนักงานมาตรวจสอบเอกสาร เพราะคอมพิวเตอร์จะตรวจสอบให้
.
กลับมาที่ VeChain หรือ VET กัน อย่างที่กล่าวไป VeChain ก็คือหนึ่งในบล็อกเชนที่ถูกพัฒนาโดยทีมของ Sunny Lu ในปี ค.ศ.2018 ซึ่งเขาเคยทำงานเป็นผู้บริหารบริษัทไอทีที่อยู่ใน Fortune 500 กว่า 10 ปี ก่อนจะหันมาสนใจการพัฒนาบล็อกเชนเมื่อปี ค.ศ.2015, ปัจจุบัน VeChain เรียกตัวเองว่าเป็น Singapore & China Based Blockchain หรือเป็นบล็อกเชนของประเทศสิงคโปร์และจีน
.
ความน่าสนใจของ VeChain คือพวกเขาต้องการให้ระบบบล็อกเชนของพวกเขา สามารถใช้ในการติดตามสินค้าคงคลังในหลายธุรกิจ ที่โดดเด่นเลยคือ ‘สุรา’ และ ‘สินค้าแบรนด์เนม’
หากแบรนด์ต่างๆ นำบล็อกเชนของ VeChain ไปใช้ พวกเขาสามารถติด QR Code หรือ NFT Coin (อ่านเกี่ยวกับ NFT ที่นี่: https://bit.ly/3vbyGlg) ไว้กับตัวสินค้า ซึ่งข้อมูลการผลิต ที่มาวัตถุดิบ การขนส่ง ตลอดจนปลายทาง จะถูกเก็บไว้บนระบบบล็อกเชนให้ลูกค้าติดตามกลับมายังจุดเริ่มต้นได้ เป็นการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และแน่นอนว่า มันจะทำให้ความเสี่ยงในการซื้อ ‘สินค้าปลอม’ หรือบรรดาก็อปเกรด AAA หมดไป
.
หรือกับสินค้าราคาแพงอย่างรถยนต์ ก็ทำได้เหมือนกัน ลงรหัสไว้กับรถยนต์แต่ละคัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามย้อนกลับไปดูการบำรุงรักษาได้ ทำให้การเปลี่ยนแปลงเลขไมล์หากต้องการขายมือสองเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะว่าข้อมูลทั้งหมดอยู่บนระบบบล็อกเชน ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวมีการจัดเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงซึ่งถูกกระจายสำเนาให้ทุกคนบนระบบอย่างทั่วถึง ไม่ใช่แค่ศูนย์รถยนต์ใด หรือเต๊นท์รถใด เป็นคนจัดเก็บเข้าไป
.
ล่าสุดมีเคสที่ของ VeChain น่าสนใจและสำคัญคือการที่โรงพยาบาล Mediterranean Hospital of Cyprus ใช้บล็อกเชนดังกล่าวในการติดตามวีคซีน COVID-19 ทางโรงพยาบาลได้ฉีดวีคซีนให้บุคลากร 100 คน และใช้บล็อกเชนของ VeChain ในการติดตามและยืนยันการฉีดวัคซีนดังกล่าว ผ่านแอพลิเคชัน E-HCert
.
ซึ่งพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการของ VeChain มีทั้ง LVMH เครือแบรนด์เนมระดับโลก, BMW Group, H&M, Haier, Salesforce ฯลฯ แบรนด์ดังกล่าวที่ว่ามาเลือกใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของ VeChain
.
ในโลกคริปโตฯ นักเทรดจะมีการพูดกันว่า ให้ลงทุนกับเหรียญที่มีพื้นฐานดี และมีโปรเจกต์การพัฒนาที่ชัดเจน ซึ่ง VET คือเหรียญที่นักลงทุนมากหน้าหลายตาให้ความเชื่อมั่น
.
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เคสการใช้งานของ VeChain ที่จับต้องได้และมีเป็นประโยชน์ในวงกว้าง ทำให้ราคาของเหรียญ VET ที่มีจำนวน 867,162,634 VET และมีการขายให้กับนักลงทุนจำนวน 41% ของทั้งหมด (ที่เหลือทางบริษัทเก็บเอาไว้เอง) ราคาพุ่งขึ้นกว่า 100% ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
.
ซึ่งตอนนี้ 1 เหรียญ VET มีมูลค่า 7-8 บาท (ณ วันที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้) และมูลค่ารวมในตลาดแตะ 1.5 พันล้านบาท แต่จะไปต่อได้ยาวหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องจับตากันต่อไป
.
*บทความนี้ไม่ใช่การแนะนำการลงทุน และทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
.
อ้างอิงข้อมูลจาก