ข้ามมาสู่เดือนที่แปดของปีแล้ว ล่าสุดแบงก์ชาติ หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่งแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 (เมษายน–มิถุนายน) ซึ่งเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนมีหลายประเด็นที่น่าสนใจและจับตา
จากการแถลงของแบก์ชาติ ไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ.2564 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสามของ COVID-19 ทำให้ภาพรวมของการบริโภคในประเทศจากฝั่งเอกชนตกลงจากไตรมาสก่อนหน้า แม้รัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยพยุงกำลังซื้อ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สวนทางกับการส่งออกที่ดีขึ้นและภาคการลงทุนที่ทรงตัว
เรื่องที่น่าสนใจคือ ‘คลัสเตอร์การระบาดในโรงงานต่างๆ’ ที่เกิดขึ้นเป็นกระแสข่าวที่ผ่านมา ก็เป็นอีกประเด็นที่กระทบต่อภาค ‘การผลิต’ ของไทยที่หดตัวลงไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากกำลังบริโภคในประเทศที่ลดน้อยลง
ส่วนเศรษฐกิจเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 (ซึ่งน่าจะเป็นเดือนที่การระบาด COVID-19 ระลอกใหม่เริ่มแสดงความรุนแรงขึ้น) แม้จะเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจและภาคบริการดีขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์เดือนพฤษภาคม แต่โดยรวมพบว่าการบริโภคยังคงอ่อนแออยู่ ทำให้การผลิตเพื่อบริโภคในประเทศได้รับผลกระทบ แต่การส่งออกปรับดีขึ้นต่อเนื่องจึงช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในภาพรวมได้อยู่ และสินค้าเกษตร ผลไม้และข้าว ยังเติบโตได้ในระดับทรงตัวเนื่องจากฤดูฝน
หลังไตรมาส 2 กับการสั่นคลอนครั้งใหญ่ภาคการผลิต
‘ชญาวดี ชัยอนันต์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุถึงเดือนมิถุนายนว่า การบริโภคและการบริการภาคเอกชนโดยรวมยังอ่อนแอ แม้จะเห็นสัญญาณดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (พฤษภาคม พ.ศ.2564) โดยขยายตัวจาก 0.8% อยู่ที่ 1.2%
แต่หากเทียบกันระหว่างไตรมาส 1 และ 2 จะพบว่า ไตรมาส 2 หดตัวลงมา 1.8% จากไตรมาสแรกของปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของคนในประเทศลดน้อยถอยลงจากการแพร่ระบาดยืดเยื้อ โดยแบงก์ชาติระบุว่า ‘สถานการณ์แย่ลงในหลายธุรกิจ’ แม้จะมีส่งออกและการใช้จ่ายของภาครัฐช่วยพยุง
โดยได้มีการเก็บผลสำรวจหลังไตรมาสสอง ระหว่าง 1–20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผ่านการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการของแบงก์ชาติ พบว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลง โดยเมื่อวัดจากการแบ่งระดับพื้นที่ พบว่าจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มจะปรับลดมากที่สุด เนื่องจากมีการใช้มาตรการเข้มข้นสุด
‘การผลิต’ พบว่าอยู่ในระดับสีเหลือง คือตลาดในประเทศกระทบมากขึ้น แม้ตลาดส่งออกจะยังขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือเรื่องของการแพร่ระบาดในโรงงานที่ยังรุนแรงทำให้หลายโรงงานต้องหยุดสายพาน ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่มีอย่างต่อเนื่อง และปัญหาขาดแคลนคอนเทนเนอร์ที่รุนแรง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายเลือกย้ายสายการผลิตไปใกล้ประเทศคู่ค้าตนเองมากขึ้น
‘การค้า’ อยู่ในระดับสีส้ม พบว่าในสินค้าอุปโภคบริโภค ยอดขายสินค้าในห้างฯ ยอดขายลดลง จากการแพร่ของโรคที่รุนแรงและมาตรการควบคุมที่เข้มงวด แต่ร้านค้าเล็กๆ ทรงตัวเนื่องจากการกระตุ้นจับจ่ายของรัฐ ส่วนสินค้าประเภทคงทน เช่น รถยนต์ ยอดขายลดเช่นกัน เพราะผู้บริโภค เข้าชมสินค้ายากขึ้น และมีการระวังจับจ่ายในการซื้อมากขึ้น เช่นเดียวกับที่สถาบันการเงินก็ปล่อยสินเชื่อยากขึ้น
‘อสังหาริมทรัพย์’ อยู่ในระดับสีส้ม ภาคก่อสร้างได้รับการกระทบจากการปิดพื้นที่แคมป์ก่อสร้างในพื้นที่สีแดงเข้ม การส่งมอบและเบิกจ่ายงบทุนล่าช้า และผู้ประกอบการต้องแบกต้นทุนที่สูงแม้ไม่ได้กอสร้าง เช่น ค่าแรง ค่าเช่าเครื่องจักร ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ส่วนยอดขายอสังหาฯ ก็ลดลงต่อเนื่อง เพราะกำลังซื้ออ่อนแอ
.
‘บริการ’ อยู่ในระดับสีแดง ภาคบริการโรงแรมกระทบหนัก ยอดเข้าพักโดยรวมต่ำมาก เพราะความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ลดลงและมาตรการการควบคุมการเดินทางแต่ละจังหวัด ร้านอาหารยอดขายลดต่อเนื่องจากการห้ามนั่งกินในร้าน และภาคขนส่งสินค้าก็มีรายได้ที่ลดลงเช่นกัน
ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า ภาคบริการยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และตลาดแรงงานเปราะบางมากยิ่งขึ้น มีสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานในระบบประกันสังคมสูง ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงต่อเนื่อง อาจเป็นปัญหาต่อกำลังซื้อในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมแม้การผลิตเพื่อบริโภคในประเทศจะไม่ค่อยดีนัก แต่การผลิตเพื่อส่งออกกลับมาดีขึ้น ตามประเทศคู่ค้าปลายทางที่กำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้จะมีบางภาคการผลิตที่ความเชื่อมั่นระดับต่ำบางหมวด ยังถูกกระทบ
โดยการส่งออกสินค้าไตรมาส 2 ขยายตัว 5.3% (จากไตรมาส 1) และเดือนมิถุนายนขยายตัว 1.4% (จากเดือนก่อนหน้า) เป็นส่วนที่ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมในตอนนี้ โดยหมวดส่งออกหลักๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า การส่งออกเหล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายซบเซาในประเทศเพราะการก่อสร้างถูกสั่งหยุด
แต่ยังพบว่าประเทศไทยยังขาดดุลการค้า (ส่วนต่างระหว่างการส่งออกและการนําเข้าสินค้าและบริการ) กับต่างประเทศอยู่ ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในภาคบริการ ส่วนในเดือนกรกฎาคมพบว่า เงินบาทอ่อนค่าลงมาก เพราะนักลงทุนกังวลการระบาดรุนแรงของสายพันธุ์เดลตา
อ้างอิงข้อมูลจาก