เมื่อโรงหนังสกาลาจะไม่มีอีกต่อไป หลัง CPN บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้สิทธิพัฒนาที่ดิน block A ตรงทำเลดังกล่าว โดยครอบคลุมสัญญาเช่า 30 ปี พร้อมรอส่งมอบเดือน มกราคม พ.ศ.2565
นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจไม่น้อย เพราะหลายคนเห็นว่าเป็นการเข้ามาต่อจิ๊กซอว์พอร์ตศูนย์การค้าฯ และอสังหาฯ ของ CPN ที่กินยาวตั้งแต่สยาม-ราชประสงค์-ชิดลม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใจกลางย่านธุรกิจ (central business district: CBD) ที่สำคัญอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่สำคัญ การวางแผนสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ในบริเวณนั้นก็เผยให้เห็นแนวทางต่อยอดทางธุรกิจที่จะนำไปชนกับห้างในกลุ่มวันสยาม รวมทั้งไม่ให้ทับไลน์กับห้างใหญ่ในเครือเดียวกันอีกด้วย
สิ่งแรกที่ CPN จะได้จากการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทำเลดังกล่าวก็คือมูลค่าและโอกาสในการต่อยอดในอนาคตที่สูงพอสมควร โดยที่ดิน block A มีเนื้อที่ทั้งหมด 7 ไร่ (31 ตร.ว.) ตั้งอยู่ตรงจุดตัดระหว่างถนนพญาไทและพระรามที่ 1 ถือได้ว่าเป็นทำเลทอง อยู่ใกล้ขนส่งหรือการคมนาคมแสนสะดวกอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส รายล้อมไปด้วยอาคารสำนักงาน ออฟฟิศ มหาวิทยาลัย ซึ่งล้วนเป็นกำลังซื้อสำคัญ รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวหรือผู้คนทั่วไปต่างสัญจรไปมา สามารถเรียกลูกค้าให้เดินเข้ามาใช้บริการได้ง่าย
และหากว่ากันถึงการลงทุนที่ดินและอสังหาฯ แล้วนั้น ต้องยอมรับว่าถือเป็นหนึ่งในที่ดินที่น่าจับตามอง เพราะราคาที่ดินมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น โดยบรรดานักลงทุนในแวดวงอสังหาฯ ได้วิเคราะห์และประเมินราคาที่ดินแถบสยามสแควร์ว่าจะตกที่ 3 ลบ./ตร.ว. และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การวางแผนสร้างคอมมูนิตี้มอลล์บริเวณทำเลดังกล่าวถือเป็นการปรับกลยุทธ์ด้านบริการค้าปลีกที่แตกต่างจากกลุ่มคู่แข่งที่อยู่รอบๆ รวมถึงห้างฯ ในเครือใหญ่เดียวกันอย่างเซ็นทรัล เวิร์ลด์ และสอดรับกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในตอนนี้
หากพิจารณาห้างในกลุ่มวันสยาม ทั้งสยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่ หรือเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ล้วนเป็นห้างขนาดใหญ่ ซึ่งอาจยังไม่รองรับหรือตอบโจทย์การเข้าใช้บริการของผู้คนในช่วงที่ผ่านมาตลอดจนตอนนี้ เพราะต้องยอมรับว่านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด วิถีเดินห้างฯ ของคนเปลี่ยนไปพอสมควร
ในขณะที่การสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ที่เป็นศูนย์การค้าสเกลเล็กลงมานั้นจะเน้นเข้าถึงและให้บริการเฉพาะในท้องที่ที่ตอบสนองเรื่องความต้องการได้ มีสินค้าและบริการหลากหลาย และสร้างบรรยากาศไลฟ์สไตล์มากกว่า ถือเป็นการวางแผนพัฒนาโครงการในเครือ CPN ให้เหมาะกับพื้นที่ สภาพแวดล้อม และพฤติกรรมคนซื้อในปัจจุบันมากขึ้น
ที่สำคัญ การเข้าซื้อหุ้น SF หรือ บมจ. สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ เมื่อเดือนที่ผ่านมานั้น ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหนุนแผนการสร้างและขยายคอมมูนิตี้มอลล์ของ CPN เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น เพราะเป็นการสร้างพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารโครงการแนวนี้ อีกทั้งยังขยายพอร์ตแบรนด์ครอบคลุมถึงการถือครองศูนย์การค้าระดับ Super Regional Mall อย่างเมกา บางนา ที่มีพันธมิตรใหญ่เป็น IKEA อีกด้วย
นอกจากนี้ CPN ยังมองหาโอกาสลงทุนและต่อยอดเส้นทางธุรกิจในเครืออยู่เสมอ ทั้งแพลนทำโครงการพื้นที่ใช้สอยผสมผสาน (mixed-use) ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุคเร่งด่วนที่ต้องการพื้นที่ที่ผสมผสานและใช้งานได้จริงในที่เดียว รวมทั้งแพลนเปิดห้างฯ เซ็นทรัลในจังหวัดอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา
หากย้อนกลับมาดูรายได้แล้วนั้น CPN มีพันธกิจหลักพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าฯ และอสังหาฯ ครบวงจร ครอบคลุมทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย ศูนย์อาหาร รายได้หลักมาจากการเก็บค่าเช่าในพื้นที่ค้าปลีกของห้างฯ ค่าบริการสาธารณูปโภค ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบรักษาความสะอาดภายในห้างฯ รวมทั้งมีรายได้จากการบริหารอสังหาฯ ส่วนต่างๆ ภายในเครือ และค่าธรรมเนียมจากการลงทุนในกองทุน CPNREIT และ CPNCG โดยแบรนด์ในพอร์ต CPN หลักๆ ประกอบด้วย Central World, Central Plaza, Central Festival
ปิดท้ายด้วย ผลประกอบการ 3 ปีล่าสุด และช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งมีรายได้รวมและกำไร ดังนี้
2561 รายได้ 37,663 ลบ. กำไร 11,216 ลบ.
2562 รายได้ 39,930 ลบ. กำไร 11,738 ลบ.
2563 รายได้ 34,032 ลบ. กำไร 9,557 ลบ.
6 เดือนแรกของปี 2564 รายได้ 12,582 ลบ. กำไร 1886 ลบ.
อ้างอิงข้อมูลจาก