การพัฒนาตัวยาเพื่อรักษา COVID-19 จากหลายบริษัท ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดย AstraZeneca ได้ออกมาระบุว่า พวกเขาสามารถทดลองยารักษา COVID-19 ในระยะ 3 และพบว่าตัวยาสามารถลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ถึง 67 เปอร์เซ็นต์
ยาที่ทาง AstraZeneca ได้ทำการพัฒนา มีชื่อเรียกว่า “AZD7442” ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวแบบผสมเพียงตัวเดียว ที่ให้ผลทั้งการป้องกันและการรักษา COVID-19 ได้ โดนทาง AstraZeneca เปิดเผยว่า พวกเขาได้ทดลองตัวยาดังกล่าวในระยะที่ 3 ของโครงการแท็คเคิล (TACKLE) จากพื้นที่ 96 แห่ง เช่น บราซิล เช็ก เยอรมนี ฮังการี อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก โปแลนด์ รัสเซีย สเปน ยูเครน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ก่อนจะพบว่าตัวยามีประสิทธิภาพ ในการลดอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้
ตัวยาจะใช้ในลักษณะการฉีดเข้าสู่ร่างกาย ด้วยขนาด 600 มิลลิกรัม โดยจากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง 903 คน ที่มีการให้ตัวยาจริงและตัวยาหลอกพบว่า ตัวยาจริงมีประสิทธิภาพในการช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรครุนแรงหรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้ถึง 67 เปอร์เซ็นต์
AstraZeneca ระบุว่า จากผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ติด COVID-19 นั้น ราว 13 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ อีก 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจาก COVID-19 ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน โรคปอดเรื้อรัง โรคหอบ โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
“ผลลัพธ์สำคัญของ AZD7442 ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวแบบผสม ทำให้เรามีหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นว่ายาตัวนี้ สามารถใช้ในการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ได้ การได้รับยานี้ในช่วงแรกหลังจากการติดเชื้อจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรครุนแรง และยังสามารถป้องกันโรคได้มากกว่า 6 เดือน” เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของ AstraZeneca ระบุ
ทั้งนี้ AstraZeneca ได้ยื่นเอกสารเพื่อขอการรับรองในการใช้ในกรณีฉุกเฉิน กับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ แล้ว และรายงานฉบับเต็มจากการศึกษา ในโครงการ TACKLE กำฃังอยู่ในขั้นตอนการยื่นตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และจะมีการนำเสนอในการประชุมทางการแพทย์ต่อไป
#Brief #TheMATTER