ประเด็นวัคซีนโมเดอร์นาล็อตบริจาคจากโปแลนด์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สังคมจับตามองมาตลอดนับตั้งแต่ธรรมศาสตร์เปิดเผยว่าเริ่มดีลกับประเทศผู้บริจาค จนถึงบัดนี้ที่เส้นทางรับบริจาควัคซีนต้องยุติลง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตั้งคำถามจากสังคมว่า สรุปมันเกิดอะไรขึ้น และมีใครขัดขวางการนำเข้าวัคซีนครั้งนี้หรือเปล่า?
The MATTER จะมาสรุปคำชี้แจงจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผู้ดำเนินเรื่องการรับบริจาควัคซีน และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ มธ.ไปขอให้ช่วยรับรองการเป็นตัวแทนรัฐบาลเพื่อรับบริจาควัคซีน ว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีคำอธิบายอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม สภา มธ.ได้ประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการนำเข้ายา วัคซีน และเวชภัณฑ์ เพื่อรับมือการระบาด COVID-19 ส่งผลให้ มธ.เป็นอีกหน่วยงานที่สามารถนำเข้าวัคซีน COVID-19 ในโมเดลเดียวกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก่อนจะมีการประกาศใช้ลงเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา
ในประกาศดังกล่าวมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้คือ “ให้อธิการบดีเป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 และให้มีอำนาจในการตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนทั้งในและต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
อธิการบดีอาจมอบหมายหรือมอบอำนาจ ให้หน่วยงานของรัฐอื่นใด หน่วยงานภาคเอกชน บุคคลทั้งในและต่างประเทศหรือผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยผู้ใดเป็นผู้ได้รับมอบหมาย หรือได้รับมอบอำนาจดำเนินการแทนได้”
อ่านประกาศฉบับเต็มได้ที่ : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/197/T_0068.PDF
- หลัง มธ.ปลดล็อกการนำเข้าวัคซีนและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ก็มีข่าวตามมาเรื่อยๆ ว่าทาง มธ.กำลังดีลกับภาคเอกชนต่างๆ ในการนำเข้าวัคซีน mRNA รวมถึงวัคซีน Protein–Based จนกระทั่งมามีความชัดเจนในวันที่ 14 ตุลาคมที่ทางโรงพยาบาลสนาม มธ.ออกมาอัพเดตว่า ขณะนี้ได้หารือเรื่องการนำเข้าวัคซีนประเภทต่างๆ โดยจะแบ่งเป็น
– ต้นเดือนกันยายน มธ.ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน (A) เพื่อนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นา 2 ล้านโดสในนามของ มธ. ซึ่งโรงพยาบาลเอกชน A จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยมีเงื่อนไขว่า มธ.จะขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นา 1 แสนโดสจาก 2 ล้านโดสมาฉีดฟรีให้ประชาชน
– ปลายเดือนกันยายน มธ. ได้ลงนามกับโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่ง (B) เพื่อนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาและไฟเซอร์ จำนวน 5 ล้านโดสในนามของ มธ. โดยมีเงื่อนไขเดียวกับข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชน A คือ โรงพยาบาลเอกชน B จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ขณะที่ มธ.จะขอแบ่งวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนฟรี
– *** ต้นเดือนตุลาคม มธ. ติดต่อกับสถาบันวัคซีนของประเทศในยุโรปตะวันออกประเทศหนึ่งผ่านการประสานงานของภาคเอกชน เพื่อขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นาจำนวน 3 ล้านโดส โดย มธ.จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่ง ค่าตรวจสอบวัคซีนทั้งหมด ซึ่งในขณะนั้นอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดต่างๆ
อ่านโพสต์ฉบับเต็มได้ที่ : https://web.facebook.com/TUFHforCOVID19/posts/407055780938263
- ประเด็นนี้ได้เงียบหายไป และกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม หลังมีเอกสารจาก กต.ที่ออกมาตอบกลับกรณีที่ มธ.ส่งจดหมายเพื่อขอให้ กต.ช่วยอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัคซีน รวมถึงมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ เป็นตัวแทนขอบคุณหน่วยงานรัฐโปแลนด์ และอำนวยความสะดวกตรวจสอบวัคซีนร่วมกับหน่วยงานรัฐโปแลนด์ในการส่งวัคซีนมาไทย
ในเอกสารฉบับนั้น กต.ได้ตอบกลับคำร้องขอของทาง มธ.ว่า
– การบริจาควัคซีนจากโปแลนด์ไม่ใช่การบริจาคแบบ ‘รัฐต่อรัฐ’ ทาง กต.ไม่ได้รู้เรื่องจากรับบริจาคผ่านช่องทางการทูตแบบเป็นทางการ จึงเห็นว่า ทาง มธ.ควรติดต่อเพื่อดำเนินการเองจะเหมาะสมกว่า
– สำหรับประเด็นเรื่องการตรวจสอบวัคซีน มธ.อาจพิจารณาให้กรมควบคุมโรคดำเนินการเรื่องนี้จะเหมาะสมกว่า และควรพิจารณาเรื่องอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ประเด็นการชดเชยความเสียหาย (indemnity)
– การรับบริจาควัคซีนไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าที่ผ่านมาของไทย ‘บริษัทผู้ผลิตวัคซีน’ ต้องให้ความยินยอมด้วย ดังนั้น มธ.จึงควรพิจารณาแนวทางการรับบริจาคให้ถี่ถ้วน เพื่อป้องกันประเด็นทางกฎหมายภายหลัง
- หลังจากเอกสารดังกล่าวเผยแพร่ออกไป หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่านี่คือการ ‘เบรก’ การนำเข้าวัคซีนหรือไม่ ซึ่งทาง กต.ก็ไม่ปล่อยให้เป็นประเด็นนาน รีบออกมาชี้แจงว่า ไม่ได้ขัดขวางการรับบริจาควัคซีนแต่อย่างใด
โดยอธิบายว่า กต.ได้รับหนังสือจาก มธ. 2 ฉบับซึ่งแจ้งว่าหน่วยงาน RARS ของโปแลนด์ต้องการบริจาควัคซีนโมเดอร์นาให้ มธ. 3 ล้านโดสและเพิ่มอีก 1.5 ล้านโดส มธ.จึงส่งหนังสือมาขอให้ กต.ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
ซึ่ง กต.เห็นว่าผู้ดำเนินการรับบริจาควัคซีนคือ มธ.และ RARS ประกอบกับ กต.ไม่เคยได้รับการยืนยันเรื่องบริจาควัคซีนในระดับรัฐบาลมาก่อน จึงเห็นว่า จะเหมาะกว่าหากให้ มธ. หารือกับ RARS โดยตรง พร้อมยืนยันว่า กต.ไม่มีเจตนาจะ ‘เบรก’ การรับบริจาควัคซีนเพราะไม่มีอำนาจเชิงกฎหมาย
ส่วนที่มีการพูดถึงสัญญาเรื่องการบริจาควัคซีนนั้นเป็นการแนะนำด้วยเจตนาดี เนื่องจากการดำเนินการของ มธ.ครั้งนี้ กต.ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาด้วย จึงแนะนำให้พิจารณาโดยถี่ถ้วน
อ่านคำชี้แจงเพิ่มเติมได้ที่ : https://thematter.co/brief/158745/158745
- แต่ประเด็นนี้กลับมาเป็นเรื่องอีกรอบ หลังเมื่อวานนี้ (2 พฤศจิกายน) โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ออกมาเปิดเผยว่าได้ ‘ยุติ’ กระบวนการขอรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นาจำนวน 1.5 ล้านโดสจากประเทศโปแลนด์แล้ว เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันให้เป็นตัวแทนรัฐบาลในการรับบริจาคภายในกรอบเวลาที่กำหนด ทำให้เสียสิทธิรับวัคซีน
ในคำชี้แจง มีใจความหลักๆ ว่า มธ.ได้ติดต่อประสานงานกับสำนักงานสำรองทางยุทธศาสตร์ของโปแลนด์ และได้จัดการรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ค่าเดินทาง ค่าประกันภัยต่างๆ รวมถึงจองเครื่องบินขนส่งเรียบร้อยแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นา
แต่หน่วยงานผู้บริจาคมีเงื่อนไขว่าต้องการบริจาคให้ในนามของ ‘รัฐบาลไทย’ มธ.จึงทำหนังสือไปที่ กต. เพื่อขอให้ออกจดหมายยืนยันสถานะ มธ.ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย โดยบอกชัดเจนว่า มธ.จะรับผิดชอบการตรวจรับรองวัคซีน การขนส่ง และประกันภัยเอง แต่ กต.ส่งหนังสือมาว่า มธ.ควรดำเนินการเอง เพราะมีอำนาจตามข้อบังคับที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ส่วนประเด็นเรื่องตรวจสอบวัคซีนควรหารือกับกรมควบคุมโรคโดยตรง
เมื่อ กต.ไม่รับรองสถานะ มธ.ในฐานะตัวแทนของรัฐภายในวันที่ 31 ตุลาคม มธ.จึงไม่สามารถยืนยันฐานะตัวเองได้ และไม่สามารถรับบริจาควัคซีนได้ในท้ายที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://thematter.co/brief/159307/159307
- ในวันเดียวกันเอง กต.ก็ได้ออกมาโต้ตอบประกาศของ มธ. โดยบอกว่า ที่ กต.ไม่สามารถออกหนังสือให้ได้ เพราะทาง มธ.บอกว่า การนำเข้าวัคซีนมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก มธ.จึงจะรับวัคซีนบริจาคไว้เพียง 1 ใน 3 ของวัคซีนทั้งหมด และนำที่เหลือมอบให้หน่วยงานเอกชนไปจำหน่ายต่อ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เสียไป
ซึ่ง กต.ได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์แล้ว ได้รับแจ้งว่า ไม่อนุญาตให้นำวัคซีนบริจาคไปขายต่อ และไทยเองก็ต้องได้รับการอนุญาต (market authorization) จากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนก่อนจะรับบริจาคด้วย ซึ่งนี่เป็นแนวปฏิบัติโดยทั่วไปของการบริจาควัคซีนระหว่างประเทศ ไม่สามารถต่อรองได้
นอกจากนี้ กต.ยังได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทวัคซีนว่าห้ามนำวัคซีนบริจาคไปขาย ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศของโปแลนด์ไม่เคยยืนยันกับรัฐบาลไทยว่ารัฐบาลโปแลนด์ยินดีจะบริจาควัคซีนให้ไทยแต่อย่างใด
สรุปคือ เมื่อ กต.เห็นว่า มธ.จะนำวัคซีนบริจาคไปขายให้เอกชน และ มธ.ไม่ได้รับคำยินยอมจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน กต.ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย จึงไม่สามารถออกหนังสือยืนยันว่ารัฐบาลไทยยินดีจะรับวัคซีนล็อตดังกล่าว เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทย และความสัมพันธ์สองประเทศ รวมถึงอาจทำให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนฟ้องรัฐบาลไทยในภายหลังด้วย
- และเมื่อเย็นวานนี้ โรงพยาบาลสนาม มธ.ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยชี้แจงถึงประเด็นที่ทาง กต.ออกมาให้เหตุผลที่ไม่สามารถยืนยันสถานะผู้แทนรัฐบาลในการรับวัคซีนได้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 เหตุผลใหญ่ๆ คือ
– เรื่องที่ มธ.ไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทผลิตวัคซีน
– เรื่องการนำวัคซีนบริจาคไปขายให้เอกชน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระดับประเทศ
- สำหรับประเด็นแรก คือเรื่องที่ มธ.ไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทผลิตวัคซีน โรงพยาบาลสนาม มธ.ยืนยันว่า ขณะที่ดำเนินการ ได้แจ้งให้ผู้แทน กต.ทราบแล้วว่า มธ. “กำลังดำเนินการเพื่อขอความเห็นชอบจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน” เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับบริจาควัคซีนโมเดอร์นา โดยได้ดำเนินการส่วนนี้ควบคู่ไปกับการขอให้ทาง กต.ทำหนังสือแจ้งโปแลนด์ว่ายินดีรับบริจาควัคซีน
- ส่วนประเด็นที่สอง คือ เรื่องการนำวัคซีนบริจาคไปขายให้เอกชน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระดับประเทศ แรกสุด มธ.ยืนยันว่า กต.ไม่เคยแจ้งให้ทราบถึงความกังวลใจข้อนี้มาก่อนไม่ว่าจะผ่านช่องทางใดก็ตาม และเพิ่งมารู้เหตุผลข้อนี้ในวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการแจ้งให้ทราบก่อนหน้านั้น มธ.อาจจะปรึกษากับ กต.หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาให้ทันกรอบเวลา
ส่วนประเด็นการขายวัคซีนให้เอกชน โรงพยาบาลสนาม มธ.เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นได้แจ้งให้ กต.ทราบแล้วว่า การบริจาคครั้งนี้เป็นการบริจาควัคซีนจากคลังสำรองในโปแลนด์ ดังนั้นผู้รับบริจาคจึงต้องรับผิดชอบและดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ เอง ซึ่งเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท
ในกรณีของ มธ.นั้นไม่มีงบประมาณแผ่นดินเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เหมือนเคสของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ มธ.จึงขอให้ภาคเอกชนมาดูแลค่าใช้จ่าย โดยมีเงื่อนไขให้เอกชนสามารถนำวัคซีนบริจาค 1 ล้านโดสไปให้บริการประชาชน โดยคิดค่าใช้จ่ายตาม ‘ราคาต้นทุน’ ที่ออกไป
ซึ่ง มธ.ได้แจ้ง กต.แล้วว่า จะมีการแถลงข่าวแจกแจงรายการต่างๆ พร้อมแสดงหลักฐานว่าค่าใช้จ่ายจากวัคซีนล็อตนี้มีเท่าไหร่ และขอให้ผู้ที่สนใจฉีดวัคซีนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง ซึ่งหลังจากตกลงกับภาคเอกชนแล้ว ราคาต้นทุน (ไม่บวกกำไร) ของวัคซีนบริจาคล็อตนี้อยู่ที่ราคาโดสละ 400 บาท ซึ่งตำ่กว่าราคา 1,100 บาท ที่เป็นราคาต้นทุนวัคซีนที่หน่วยงานภาครัฐนำเข้ามาในประเทศ เรียกเก็บจากสถานพยาบาลต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก
อ่านคำชี้แจงฉบับเต็ม : https://web.facebook.com/TUFHforCOVID19/posts/419014793075695
- หลังจากโรงพยาบาลสนาม มธ. ออกมาชี้แจง ทางฝั่ง กต.ก็ยังไม่ได้มาอัพเดตความคืบหน้าใดๆ เพิ่มเติม ซึ่งหลังจากนี้คงต้องติดตามกันต่อไป ท่ามกลางความเห็นของประชาชนที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย บ้างมองว่า กต.จงใจขัดขวางการบริจาคครั้งนี้ บ้างว่าเป็นความผิดของ มธ.เองที่ไม่ดำเนินการอย่างรอบคอบ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งชี้ว่า นี่เป็นปัญหาของระบบราชการไทยที่มีความซับซ้อน และส่งผลให้เกิดการสื่อสารผิดพลาดเช่นนี้
แม้ท้ายที่สุดจะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด แต่สิ่งที่สรุปได้แน่ๆ ในตอนนี้คือ ไทยเพิ่งเสียโอกาสรับโมเดอร์นาบริจาคล็อตใหญ่จากประเทศโปแลนด์ ที่ควรจะเป็นประโยชน์กับประชาชนในประเทศไปต่อหน้าต่อตา
อ้างอิงจาก
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2178428
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/197/T_0068.PDF
https://web.facebook.com/TUFHforCOVID19/posts/407055780938263
https://www.dailynews.co.th/news/411476/
https://thematter.co/brief/158745/158745
https://thematter.co/brief/159307/159307
https://web.facebook.com/TUFHforCOVID19/posts/419014793075695
https://siamrath.co.th/n/294408
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/159745
#Brief #TheMATTER