เกิดอะไรขึ้นบ้างในอังกฤษ หลังจากที่ COVID-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง ประกอบกับความกังวลในเรื่องสายพันธุ์โอไมครอน จนทำให้นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน แถลงผ่านโทรทัศน์ว่า อังกฤษกำลังเผชิญกับ ‘ระลอกน้ำขึ้น’ (tidal wave) ของสายพันธุ์นี้
The MATTER ได้รวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอังกฤษ ในช่วงวันที่ผ่านมา และนำมาอธิบายรวบยอดให้เห็นภาพรวม พร้อมทั้งย้อนกลับมามองประเทศไทย เพื่อตอบคำถามว่า สถานการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในอังกฤษตอนนี้ สามารถสะท้อนภาพแนวโน้มการระบาดของไทยได้หรือไม่
เกิดอะไรขึ้นบ้างในอังกฤษหลังโอไมครอนเริ่มระบาด
ข้อมูลจากวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค. 2564 อังกฤษพบผู้ติดเชื้อ 54,661 รายในวันเดียว และมีผู้ติดเชื้อสะสม 363,682 ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 38 ราย ในวันจันทร์ที่ผ่านมา และยอดผู้เสียชีวิตสะสม 7 วันอยู่ที่ 831 ราย
สำหรับสายพันธุ์โอไมครอน ซาจิด จาวิด รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า มีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนที่ยืนยันแล้ว 4,713 ราย นับเป็น 20% ของทั้งประเทศ แต่ในลอนดอน โอไมครอนนับเป็น 44% ของจำนวนเคสทั้งหมดแล้ว และน่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในเมืองภายใน 48 ชั่วโมงนี้
นายจาวิด ยังเปิดเผยอีกว่า จากการคาดการณ์ของสำนักงานความมั่นคงทางสุขภาพ (UK Health Security Agency หรือ UKHSA) ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันของสายพันธุ์โอไมครอนจะแตะ 200,000 รายเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นเพราะว่าสายพันธุ์นี้จะระบาดทวีคูณเป็นสองเท่าทุก ๆ 2-3 วัน
และจากข้อมูลของ UKHSA มีผู้ติดเชื้อโอไมครอนยืนยัน 10 รายที่กำลังเข้ารับรักษาในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้ มีอายุตั้งแต่ 18-85 ปี และส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว 2 เข็ม และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายกฯ จอห์นสัน ก็ได้ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 1 ราย
ภายหลังจากการระบาดระลอกใหม่ นายกฯ จอห์นสัน ก็ได้ประกาศว่า ประชาชนที่อายุมากกว่า 18 ปีทุกคนจะได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ภายในสิ้นเดือนธันวานี้ ซึ่งนายกฯ ก็เตือนประชาชนว่าควรจะเร่งไปฉีดบูสเตอร์ เพื่อรักษา “เสรีภาพและวิถีชีวิตของเรา” และหลีกเลี่ยงการล็อคดาวน์
การแถลงของนายกฯ ในเรื่องบูสเตอร์นั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่ UKHSA เผยผลวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนในการรับมือกับโอไมครอน ซึ่งพบว่า วัคซีน 2 เข็ม มีประสิทธิภาพที่ลดลงในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการของสายพันธุ์โอไมครอน แต่หากฉีดไฟเซอร์เป็นเข็มบูสเตอร์ จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ราวๆ 70% สำหรับผู้ที่เคยฉีดแอสตร้าเซนเนก้า และ 75% สำหรับผู้ที่เคยฉีดไฟเซอร์
รัฐบาลอังกฤษรับมืออย่างไร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. 2564 นายกฯ บอริส จอห์นสัน ก็ได้แถลงผ่านโทรทัศน์ว่า ‘ระลอกน้ำขึ้น’ (tidal wave) ของสายพันธุ์โอไมครอน กำลังจะมาที่อังกฤษ และวัคซีน 2 เข็มก็คงไม่เพียงพอ ทางรัฐบาลจึงกำลังเร่งโครงการฉีดเข็มบูสเตอร์ ดังที่ได้พูดถึงไป
การประเมินความเสี่ยงทางสาธารณสุขของอังกฤษ ก็ได้ขยับจากระดับ 3 มาเป็นระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ ซึ่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของอังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ ก็ได้อธิบายว่า การปรับระดับเป็นคำแนะนำของ UKHSA เพราะการระบาดของ COVID-19 ในประเทศอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเดลต้าโดยส่วนใหญ่ แต่การมาของโอไมครอนก็ทำให้มีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
ขณะนี้ รัฐบาลอังกฤษกำลังเตรียมรับมือกับการระบาดของโอไมครอนด้วยแผนของรัฐบาล ที่เรียกว่า ‘Plan B’ ซึ่งประกอบไปด้วย มาตรการบังคับใส่หน้ากากอนามัยทั้งในบ้านและนอกบ้าน มีคำแนะนำให้กลับมา work from home จะมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนที่เรียกว่า ‘NHS Covid pass’ สำหรับใช้ในผับสถานที่อื่นๆ ที่มีคนจำนวนมาก เป็นต้น
โดย ‘Plan B’ ที่ว่านี้ ส.ส. ก็กำลังเตรียมลงมติเห็นชอบในวันนี้ ซึ่งถ้ามีมติเห็นชอบ ทางรัฐบาลก็จะบังคับใช้และจะกลับมาทบทวนมาตรการภายใน 5 มกราคมปีหน้า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความหนักเบาของสถานการณ์
สถานการณ์ที่อังกฤษสะท้อนภาพการระบาดของไทยในอนาคตได้หรือไม่
ล่าสุด นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนยืนยันอีก 8 รายแล้ว และกำลังตรวจยืนยันที่คาดว่าน่าจะเป็นสายพันธุ์นี้อีก 3 ราย ซึ่งเป็นการตรวจพบจากผู้ที่มาเดินทางจากต่างประเทศทั้งหมด จึงสรุปได้ว่า ยังไม่พบการติดเชื้อโดยตรงภายในประเทศ
ขณะเดียวกัน สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ก็ยอมรับว่า เป็นธรรมชาติที่จะมีการระบาดในประเทศ เพราะโรคระบาดปิดกั้นได้ลำบาก เพียงแต่ยังไม่พบเชื้อโอไมครอนในประเทศไทยในขณะนี้
สำหรับประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญในไทยก็ยังมองว่า แนวโน้มในอนาคตอาจไม่จำเป็นต้องเป็นแบบประเทศอังกฤษ หากมีการเตรียมการที่เพียงพอ อย่างไรก็ดี จากผลศึกษาต่างๆ ที่ได้ออกมา ก็พบว่า มีเวลาเตรียมตัวไม่มากนัก เพราะหากระบาดภายในประเทศ การแพร่กระจายก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังที่อังกฤษพบว่า การระบาดจะทวีคูณเพิ่มขึ้นในทุกๆ 2-3 วัน และติดต่อได้แม้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
ในประเด็นนี้ นพ.มานพ พิทักษ์ภากร แพทย์อายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ก็ได้ให้ความเห็นว่า ในการระบาดของเดลต้าหนก่อน “เมืองไทยมีเวลาติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นใน [อังกฤษ] ล่วงหน้าถึง 2 เดือน แต่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่เตรียมพร้อมอะไรจนเราโดนเข้าเอง” และหนนี้ นพ.มานพ ก็เตือนว่า ผู้บริหารควรมีมาตรการออกมารับมือบ้าง ก่อนที่จะสายไปหลังมีการระบาดภายในประเทศ
และหากมองจากสถานการณ์ที่อังกฤษ นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธาน กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา ก็ได้ชี้แนะว่า มาตรการที่ไทยควรมีเพื่อรับมือ ได้แก่ เข้มงวดคนเดินทางจากต่างประเทศทุกประเทศ รวมถึงช่องทางธรรมชาติต่างๆ และให้เร่งฉีดวัคซีน 2 เข็มภายในเดือนธันวาคมนี้ ประกอบกับเร่งฉีดบูสเตอร์ภายในอีก 2-3 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้ นพ.เฉลิมชัย อ้างว่า เพียงพอต่อการรับมือกับโอไมครอน
คล้ายคลึงกับที่ ผศ.ดร.นพ.ปกรัฐ หังสสูต หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ออกมาเตือนว่า วิธีหนึ่งที่ไทยควรเตรียมพร้อมในการรับมือคือ การฉีดบูสเตอร์ด้วย mRNA เพราะพบว่า 2 เข็มไม่เพียงพอแล้ว ก่อนที่ประเทศไทยจะเดินตามรอยอังกฤษ
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/uk-59635396
https://www.bbc.co.uk/news/uk-59639007
https://www.reuters.com/world/uk/britain-says-omicron-spreading-phenomenal-rate-2021-12-13/
https://www.reuters.com/world/uk/uks-johnson-warns-tidal-wave-omicron-cases-set-hit-2021-12-12/
https://www.independent.co.uk/news/health/plan-b-rules-covid-uk-restrictions-b1974912.html
https://gov.wales/uk-covid-alert-level-increased-level-3-level-4
https://edition.cnn.com/2021/12/13/uk/uk-omicron-infections-tidal-wave-gbr-intl/index.html
https://www.aljazeera.com/news/2021/12/12/uk-raises-covid-alert-level-as-omicron-advances
https://coronavirus.data.gov.uk
https://www.prachachat.net/general/news-820593
https://twitter.com/manopsi/status/1470179350058180610
https://twitter.com/pokrath/status/1469514050652368896