ข่าวการละลายของธารน้ำแข็งมีมาให้เห็นกันบ่อยจนบางคนอาจคุ้นชินกันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยงานวิจัยล่าสุดระบุว่า ธารน้ำแข็งบนเขาเอเวอเรสต์ ได้ละลายลงในเวลาเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น
งานวิจัยชิ้นนี้ เตือนให้เห็นว่าธารน้ำแข็งบนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบทางธรรมชาติที่ร้ายแรงอีกมากมาย เช่น ทำให้เกิดเหตุหิมะถล่มบ่อยขึ้น และทำให้แหล่งน้ำแห้งแล้ง ซึ่งผู้คนราว 1.6 พันล้านคนที่อยู่บริเวณเทือกเขา ต้องอาศัยน้ำเพื่อดื่ม ทำชลประทาน และใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ
การที่น้ำแข็งบนเขาเอเวเรสต์ใช้เวลาราว 2,000 ปีในการก่อตัว แต่กลับมาละลายลงในเวลาเพียง 25 ปีนั้น แปลว่า น้ำแข็งใช้เวลาละลายเร็วกว่าแข็งตัวถึง 80 เท่า
ยิ่งกว่านั้น ข้อมูลจากการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ยังทำให้เห็นว่าน้ำแข็งที่นักวิจัยสำรวจกันอยู่นั้น มีอายุราว 2,000 ปี นั่นแปลว่า น้ำแข็งทั้งหมดก่อตัวขึ้นหลังจากช่วงเวลานั้น ได้ละลายไปหมดแล้ว
ทีมวิจัยยังระบุด้วยว่า การละลายของน้ำแข็งบนยอดเขานี้มีผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยอดเขาเอเวอเรสต์ก็เจอกับผลกระทบที่ว่านี้มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 แล้ว
ขณะที่ งานวิจัยอีกชิ้นจาก National Geographic และ Rolex Perpetual Planet Everest Expedition ระบุว่า น้ำแข็งบนเขาเอเวอเรสต์นั้นเริ่มละลายตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1800 และเริ่มละลายอย่างเห็นได้ชัดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ก่อนจะมาเร่งสปีดขึ้นในช่วงต้นปี 2000
การเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งนี้ทำให้ธารน้ำแข็งไม่สามารถสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ได้อีกต่อไป และจะทำให้มันยิ่งละลายเร็วขึ้นอีก 20 เท่า โดยมีระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่ลดลงและลมที่แรงขึ้นเป็นปัจจัยร่วมด้วย
พอล เมเยอสกี (Paul Mayewski) ผู้อำนวยการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจาก University of Maine กล่าวว่า “ตอนนี้เรามีหลักฐานแล้วว่า ธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดบนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ก็ละลายลงแล้ว”
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER