แม้หลายๆ คนอาจจะอยากให้โรคระบาดจบไวๆ แล้วก็ตามที แต่งานวิจัยที่เพิ่งได้มีการสำรวจรอบใหม่ก็พบว่า ยังมีคนบางส่วนที่ยังอยากทำหลายๆ อย่างเหมือนเดิม เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) แม้จะไม่มีโรคระบาดก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์ 3 คนจาก ม.สแตนฟอร์ด ม.ชิคาโก และ ITAM มหาวิทยาลัยในเม็กซิโก ได้เก็บข้อมูลจากประชาชนในสหรัฐฯ อายุ 20-64 ปี เป็นจำนวนประมาณ 5,000 คนในแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2020 เป็นต้นมา พบว่า มีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ (ประมาณ 15%) ที่บอกว่า จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบช่วงก่อนโรคระบาดอีกเลย
นิโคลัส บลูม หนึ่งในนักวิจัย บอกว่า ถึงแม้จะเป็นสัดส่วนที่ไม่เยอะ แต่ก็เป็น ‘ตัวเลขที่มหาศาล’ ถ้าเทียบสัดส่วนกับแรงงานทั้งหมดในสหรัฐฯ เขาบอกว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเท่ากับผู้ใหญ่จำนวนประมาณ 20 ล้านคนเลยทีเดียว “มันคือคนจำนวนหลายล้านคนเลยที่จะหายไปจากสังคม” เขาบอก
นอกจากนี้ ในงานวิจัยเดียวกันยังมีสถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น นายจ้างวางแผนให้ work from home หลังโรคระบาดจบ เฉลี่ยประมาณ 2.2 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.6 วันในปี 2020 หรือกรณีของสถิติคนหางาน มีถึง 54% ที่บอกว่า กำลังหางานที่อนุญาตให้ work from home ได้ เป็นต้น
บลูมคาดการณ์ถึงสาเหตุที่มาที่ไปว่า บางคนอาจจะ “พอใจกับไลฟ์สไตล์เก็บตัวของตัวเอง” ขณะที่บางคนอาจจะกลัวการเจ็บป่วย แม้จะไม่มีโรคระบาดก็ตาม หรืออาจจะเกิดความรู้สึกวิตกถ้าต้องกลับมาอยู่ในสังคม เป็นต้น
ซึ่งบลูมก็บอกว่า การที่คนบางส่วนต้องการเว้นระยะห่างทางสังคมต่อไป อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจได้บ้าง แต่ในความเห็นของเขา มันจะเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียกับความเป็นสังคมต่อไปในอนาคต
อ้างอิงจาก
https://wfhresearch.com/wp-content/uploads/2022/03/WFHResearch_updates_March2022.pdf
https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=3741644