หลังจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อกลุ่ม “กลุ่มราษฎรหยุด APEC2022” เมื่อวันที่ 18 พ.ย. จนทำให้มีผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนผู้บาดเจ็บและถูกจับกุม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ ‘ประเทศไทย: หยุดใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงระหว่างการประชุมเอเปก’
โดยทางด้าน ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่าการสลายการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากลตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่มุ่งเป้าเพื่อการปะทะและการจับกุมผู้ชุมนุม ซึ่งถือเป็นการละเมิดการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ และเป็นการปิดปากผู้เห็นต่าง
“ผู้ชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือรุนแรงใดๆ แต่กลับได้รับความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการกระทำของตำรวจ มีผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตา มีสื่อมวลชนที่ถูกทุบตี ได้รับบาดเจ็บ และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งๆ ที่ใส่ปลอกแขนสื่อมวลชนและแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขากล้าที่จะใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ” ปิยนุชกล่าว
ทางแอมเนสตี้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ชุมนุมทั้ง 25 รายที่ถูกควบคุมตัวเมื่อวาน ซึ่งล่าสุดศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยืนยันว่าผู้ชุมนุมได้รับการประกันตัวทั้งหมดแล้ว ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ ได้แก่ ห้ามเข้าร่วมชุนนุมทางการเมืองใดๆ ระหว่างได้ประกัน และห้ามประกาศเชิญชวนบุคคลอื่นเข้าร่วมมั่วสุมหรือกระทำการใดๆ ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
แอมเนสตี้ยังเรียกร้องให้ทางการไทยปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศของตน และอำนวยความสะดวก ในการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ โดยตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมาตรฐานการใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชน เจ้าหน้าที่ควรหาทางหยุดยั้งและแยกตัวบุคคลที่กระทำความรุนแรงออกไป แต่ต้องไม่ไปขัดขวางบุคคลอื่นที่ยังต้องการชุมนุมโดยสงบต่อไป ซึ่งการใช้กำลังต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อยุติความรุนแรง และให้ใช้ได้ในลักษณะที่จำกัดอย่างยิ่ง โดยมุ่งลดอาการบาดเจ็บและมุ่งรักษาสิทธิที่จะมีชีวิตรอด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2565 นายกฯ ออกประกาศให้ 20 สถานที่และถนน รวมถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เป็นสถานที่ตามมาตรา 8 (5) แห่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ระบุว่า การชุมนุมสาธารณะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออก หรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานที่ และการชุมนุมต้องขออนุญาตต่อทางการไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการจำกัดจนเกินขอบเขตต่อสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ และไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ