หลังจากการต่อสู้ในสภามาอย่างยาวนาน อีกเพียงเดือนกว่า พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ก็จะถูกบังคับใช้แล้ว แต่ตอนนี้ อาจจะยังบังคับใช้ไม่ได้ทั้งฉบับ เพราะ ตำรวจยื่นขอขยายระยะเวลาออกไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีงบประมาณดำเนินการ ตำรวจยังขาดความรู้ และกฎหมายยังไม่ชัดเจนพอ
พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ คือ พ.ร.บ.ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความคุ้มครองบุคคลทุกคน จากการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (12 มกราคม) เว็บไซต์ iLaw รายงานว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ยื่นหนังสือขอขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและอุ้มหายฯ เฉพาะบทบัญญัติในหมวด 3 ว่าด้วยการป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายซึ่งมีสาระสำคัญ คือ
“เจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบควบคุมตัว ต้องบันทึกภาพและเสียงขณะจับและควบคุมตัว ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว กรณีที่มีการอ้างว่าบุคคลถูกกระทำทรมาน พนักงานอัยการหรือผู้เสียหายหรือญาติสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้สั่งยุติการกระทำนั้นได้”
“และหากผู้ใดที่พบเห็นหรือทราบการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือการอุ้มหาย ก็สามารถไปแจ้งพนักงานอัยการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้”
โดยทาง สตช.ระบุเหตุผล 3 ประการในการขอขยายระเวลาดังนี้
- ไม่มีงบประมาณ เพราะการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวระบุว่าต้องมีการซื้อ กล้องติดตัวเจ้าหน้าที่ 1.7 แสนตัว กล้องติดรถยนต์ควบคุมผู้ถูกจับ 1,578 ตัว และกล้องติดสถานที่ควบคุมผู้ถูกจับ 6,244 ตัว รวมทั้งสิ้นต้องใช้งบประมาณถึง 3,473 ล้านบาท ซึ่งต้องทำคำขอในปีงบประมาณหน้า
- บุคลกรไม่พร้อม ทั้งยังขาดความรู้และทักษะที่จะปฏิบัติงานจริง เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันพัฒนาไปเร็วมาก ต้องใช้เวลาฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
- ข้อกฎหมายคลุมเครือ ไม่มีระเบียบและมาตรฐานที่จะเป็นแนวทางให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
และในวันนี้ (13 มกราคม) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีที่ สตช.ขอขยายเวลาบังคับ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ไว้ว่า ไม่ได้มีเจตนาคัดค้าน และยินดีปฏิบัติตาม เพียงแต่ต้องการขยายระยะเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมและได้ซักซ้อมก่อนปฏิบัติงานเท่านั้น
ประเด็นนี้ รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นว่า ในดูประเทศที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและโปร่งใส เช่น สหรัฐอเมริกา จะพบว่าเป็นเรื่องปกติมากที่ตำรวจจะต้องติดกล้องประจำตัวไว้ เพราะทำให้ทราบว่าการคุมตัวของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
แต่เมื่อย้อนมาดูประเทศไทย ที่มีการกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทั้งซ้อม ทรมาน รวมไปถึงการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักสากล รังสิมันต์จึงมองว่า การขยายระยะเวลาเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตอบคำถามไว้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับดังกล่าว ทุกหน่วยงานที่เข้ามาชี้แจงก็ยืนยันเช่นนั้น โดยเขาก็ได้เสนอว่า หากมีความจำเป็นต้องจัดซื้อกล้องบันทึกภาพ ก็สามารถใช้งบกลางได้
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เขาไม่ทราบรายละเอียด แต่ในฐานะหัวหน้าหน่วย จะดูเรื่องแค่เรื่องความพร้อม เพราะกฎหมายออกมา เราไม่ได้อยากจะฝ่าฝืน เพียงแค่ต้องการให้มีความพร้อมเท่านั้นเอง และเกิดเหตุขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
อ่านเรื่อง พ.ร.บ.อุ้มหายใน The MATTER เพิ่มเติมได้ที่:
อ้างอิงจาก