ครบรอบ 2 ปีรัฐประหารเมียนมา (1 กุมภาพันธ์) แต่เมื่อวานนี้ มีรายงานว่าพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นายกรัฐมนตรีเมียนมา ประกาศขยายสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือน ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งใหม่ล่าช้าออกไปจากกำหนดการเดิม
มิน อ่อง หล่าย ให้เหตุผลว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของเมียนมายังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร และเมียนมายังไม่อยู่ในสถานการณ์ปกติ
และแม้ว่ามิน อ่อง หล่าย สัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ แต่เขาก็ชี้แจงไว้ชัดเจนว่า ถึงจะมีการเลือกตั้ง แต่กองทัพก็ยังจะรักษาบทบาทหน้าที่เหล่านี้เอาไว้ โดยกองทัพจะเป็น “ผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐและประชาชนเสมอ … ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล”
ประกาศขยายสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าของถนนทั่วเมียนมาหลังจากที่นักเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ผู้คนทั่วประเทศปิดธุรกิจและอยู่ในบ้าน ในขณะที่มีผู้สนับสนุนกองทัพประมาณ 200 คน เดินขบวนผ่านเมืองย่างกุ้งในช่วงบ่าย และผู้ชุมนุมประมาณ 400 คนไปจัดการชุมนุมนอกจถานทูตเมียนมาในกรุงเทพฯ แทน
มิน อ่อง หล่าย กล่าวว่าแม้จะไม่มีการประท้วงบนถนน แต่ความรุนแรงยังคงอยู่ พร้อมอ้างว่ากลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารกำลังขัดขวางแผนการเลือกตั้ง
“‘ผู้ก่อการร้าย’ กําลังก่อการร้าย รบกวน ฆ่าฟัน และทำลาย” มิน อ่อง หล่ายกล่าว
ทางด้านสหรัฐฯ ก็ออกมาประณามการขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเน็ด ไพรซ์ (Ned Price) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการยืดเวลาให้ทหารปกครองเมียนมาอย่างไม่ชอบธรรมและสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก
อีกทั้งการเลือกตั้งที่มิน อ่อง หล่าย สัญญาว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไพรซ์ ก็เชื่อว่านั่นคงไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะสะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ทาง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลียยังได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทที่เชื่อมโยงกับกองทัพครั้งใหม่ เพื่อต่อต้านการปกครองที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทหารอีกด้วย
“ความปรารถนาของเราในปี 2023 คืออิสรภาพและการกลับบ้าน” เทต นัง (Thet Naung) ผู้ประท้วงภาคเหนือของจังหวัดสะกายกล่าว
“เราผ่านความยากลำบากมากมาย เราอยากมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่เราสูญเสียทุกอย่าง เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่าและอยู่ห่างจากเมืองต่างๆ”
อ้างอิงจาก