กลายเป็นอีกหนึ่งไวรัลในโลกออนไลน์ของจีน เมื่อผู้หญิงชาวจีนคนหนึ่ง ออกมาเล่าทั้งน้ำตาถึงความกดดันที่ต้องเผชิญจากงาน การเงิน และความกดดันของการเป็นโสด ตลอด 28 ปีของเธอ ซึ่งนับเป็นการเปิดประเด็นวิพากษ์ถึงแรงกดดันที่คนหนุ่มสาวต้องเผชิญในจีนยุคใหม่
“ฉันทำให้พ่อแม่ผิดหวังไม่ได้ ฉันถึงได้งกล้าออกไปนัดบอด” เป็นคำพูดหนึ่งของสาวเซี่ยงไฮ้คนนี้ ที่เผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่บรรยายถึงความเจ็บปวดของการไม่เคยมีแฟนมาก่อน ตลอด 28 ปี จนต้องเผชิญกับความกดดันจากรอบข้างมากมาย รวมถึงความกลัวว่าจะกลายเป็นสาวโสดตลอดไป
“ฉันยังไม่เคยจับมือผู้ชายเลยสักคน” เธอเล่า
โดยที่ผ่านมาเธอได้พยายามทำหลายอย่างมาก เพื่อหาแฟนคนแรกไม่เว้นแม้กระทั่งการนัดบอด แต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที จนเริ่มรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น แถมยังเริ่มมีความคิดว่าจะต้องไปนัดบอด เพื่อจะได้มีชีวิตครอบครัวตามความคาดหวังของพ่อแม่
แต่อย่างที่รู้กันว่า การออกไปนัดบอดแต่ละครั้งย่อมมีค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการต้องออกไปทานข้าวนอกบ้าน นั่นยิ่งทำทำให้สถานการณ์การเงินของเธอไม่ค่อยจะดี ทั้งที่ผ่านมาเธอพยายามใช้เงินอย่างระวังมาตลอด จะซื้อรองเท้าแต่ละคู่ยังคิดแล้วคิดอีก ซึ่งความเครียดสะสมของเธอ เริ่มแสดงออกให้เห็นผ่านหงอกก่อนแล้ว
ตอกย้ำในช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ที่เธอต้องฉลองคนเดียวอีกปี จนเริ่มตั้งคำถามว่า “ในชีวิตนี้จะได้แต่งงานกับผู้ชายที่ฉันชอบไหม”
เมื่อเรื่องราวของเธอถูกพูดถึงในวงกว้าง หลายคนก็แสดงความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจกับสิ่งที่เธอเผชิญ ‘ฉันแก่กว่าเธอ 2 ปี เข้าใจเลยว่ารู้สึกยังไง’ ‘ฉันก็มีปัญหาคล้ายกัน…ถูกพ่อแม่กดดันตลอด’ ขณะเดียวกันก็วิจารณ์ธรรมเนียมจีนที่กดดันให้คนหนุ่มสาวต้องมีคู่ครอง ไม่เช่นนั้นจะโดดตัดสินว่าล้มเหลว
ทั้งนี้ยังมีคนบางส่วนที่ติงว่า เธอไม่ควรปล่อยให้ทัศนคติเชิงลบส่งผลกระทบกับชีวิต ‘ทำไมต้องรีบหาแฟน? เฉิดฉายสิ แล้วเธอจะมีชีวิตที่เยี่ยมไปเลย’ แถมบางคนยังเตือนว่า อย่าแต่งงานเพราะสิ่งนี้นะ ไม่งั้นจะร้องไห้ดังกว่านี้’
ย้อนไปในปี 2019 มีบริษัทจีนถึง 2 แห่งที่ประกาศให้วันลาเพิ่มอีก 8 วันต่อปี ในช่วงตรุษจีน กับพนักงานหญิงอายุเกิน 30 ปี ที่ยังโสด เพื่อให้ “กลับบ้านและออกเดท” เพราะมองว่าที่ผ่านมาพวกเธอมีโอกาสพบปะกับเพศตรงข้ามน้อย การมีเวลาเพิ่มน่าจะช่วยได้
ขณะที่สถิติในจีน ที่ตั้งแต่ปี 2013 ชี้ว่าการแต่งงานของคนจีนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการหย่าร้างเองก็สูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวของสาวจีนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงขนบความเชื่อเดิม และหันมาทำงานเก็บเงิน และลงทุนเพื่ออนาคต
อ้างอิงจาก