อากาศที่ร้อนระอุคลายลงเมื่อบิลค่าไฟฟ้ามาถึงหน้าประตูบ้าน ท่ามกลางเสียงบ่นระงมของประชาชนถึงค่าสาธารณูปโภคที่แพงหูฉี่ ทุกพรรคการเมืองก็ขยับนำเสนอนโยบายลดค่าไฟแพงกันอย่างครึกครื้น
The MATTER ชวนมาฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการกันบ้าง เราได้พูดคุยกับ ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร นักวิชาการที่ติดตามปัญหาค่าไฟไทยมาอย่างยาวนาน อะไรคือใจกลางของปัญหาค่าไฟในปัจจุบัน และในมุมของนักวิชาการ เขามีข้อเสนอในการแก้ปัญหานี้อย่างไร
1.ทำไมค่าไฟแพง
ในความเห็นของ ชาลี เขามองว่าสาเหตุที่ทำให้คนไทยต้องแบกรับค่าไฟมาจากสาเหตุทั้งหมด 4 ประการ
ประการแรก แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่ล้าสมัย อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรกล่าวว่า ปกติ แผน PDP ต้องมีการทบทวนในทุก 3 ปี แต่ในปัจจุบัน ไทยยังใช้แผน PDP ในปี 2018 อยู่เลย ซึ่งเขามองว่าการไม่ทบทวนแผน PDP มีส่วนที่ทำให้กลุ่มทุนที่อยากสร้างโรงไฟฟ้าได้รับสัมปทานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
“ปีนี้ปี 2023 แต่ยังใช้แผน PDP ปี 2018 อยู่เลย ไม่ยอมปรับแผนเพราะเมื่อไหร่ปรับจะเห็นว่าโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่สร้าง มันล้นเกินกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ดังนั้น จะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ได้แล้ว” ชาลีกล่าวต่อ “แต่ถ้ายังใช้แผน 2018 แปลว่ายังสร้างโรงไฟฟ้าได้เรื่อยๆ ตามที่กำหนดไว้ในแผนปี 2018 ซึ่งเป็นการพยากรณ์พลังงานที่ผิดพลาดไปอย่างมาก เพราะตอนนั้นไม่มี COVID-19”
ปัญหาต่อเนื่องจากการอนุมัติสร้างโรงไฟฟ้าที่ล้นเกินคือ ‘ค่าพร้อมจ่าย (Aviability Payment)’ ที่ประชาชนต้องแบกรับ กล่าวคือ ทันทีที่กลุ่มทุนประมูลได้สัมปทานในการสร้างโรงไฟฟ้า รัฐบาลจะจ่ายเงินให้เอกชนในทันที โดยแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือค่าพร้อมจ่าย ส่วนที่สองคือค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง (Fuel Charge) ที่จะจ่ายก็ต่อเมื่อโรงไฟฟ้าเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า
“เมื่อโรงไฟฟ้าเอกชนได้รับสัญญาผลิตจากรัฐบาล จะกำไรตลอดอายุโรงไฟฟ้า 25 ปี ดังนั้น การอนุมัติโรงไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก มิฉะนั้น ทำไมรัฐบาลต้องมาสร้างโรงไฟฟ้าเยอะแยะ ทั้งที่ตัวเองก็มีโรงไฟฟ้ามากมายที่ไม่ได้เดินเครื่อง เหมือนประชาชนเป็นแพะรับไปในส่วนนี้” ชาลีกล่าว
ที่สำคัญ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่ล้นเกินยังเป็นภาระอีกข้อที่ต่อเนื่องจากการให้สัมปทานโรงไฟฟ้าที่มากเกินไป โดยข้อมูลจาก กฟผ. เดือนมีนาคม 2566 ระบุว่า ปัจจุบันไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 49,509 เมกกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 31,054 เมกะวัตต์ หรือแปลว่าขณะนี้เรามีพลังผลิตไฟฟ้าเกินกว่าที่จำเป็นสูงถึง 59.428%
ในความเห็นของชาลี อัตราไฟฟ้าสำรองควรจะอยู่ที่ 15% ดังนั้น ด้วยอัตราการใช้ไฟฟ้าเท่านี้ เราควรจะมีกำลังไฟฟ้าสำรองอยู่ที่ประมาณ 35,712 เมกกะวัตร์ หรือน้อยกว่าที่มีในปัจจุบัน 13,797 เมกกะวัตต์
“ท้ายที่สุดเราก็กลายเป็นคนที่ต้องชำระค่าไฟที่แพงเกินจริง เนื่องจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่แพงเกินไป ซึ่งท้ายที่สุดจะไปอยู่ในค่าไฟฟ้าฐาน ก่อนที่จะบวกค่า FT ดังนั้น FT ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง แต่สาเหตุหลักคือการที่เราสร้างโรงไฟฟ้ามากเกินไป” ชาลีสรุปในประเด็นนี้
ประการที่สอง ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่ถูกแย่งไป ต้องอธิบายก่อนว่าในปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพิงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเป็นหลักโดยคิดเป็น 60% ของการผลิตทั้งหมด ซึ่งจะไม่มีปัญหาเลย ถ้าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยถูกนำมาใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าก่อน
แต่มติ ครม. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ได้จัดสรรโควตาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเสียใหม่ โดยให้การผลิตไฟฟ้าอยู่ในลำดับแรกเช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจที่ผลิตปิโตรเคมี จนทำให้ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไม่เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ โดยเฉพาะก๊าซชนิด LNG ซึ่งมีราคาสูง และทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ประการที่สาม การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าในไทย ชาลีให้ความเห็นว่า โรงไฟฟ้าในไทยพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติมากเกินไป จนไม่มีทางเลือก ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ ซึ่งราคาสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากความขัดแย้งในเมียนมา และสงครามรัสเซียบุกยูเครน
“ช่วงหลังๆ เราใช้ก๊าซ LNG สูงมาก เกินครึ่งของก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่เราใช้ มันเลยทำให้ต้นทุนการผลิตขึ้นไปสูงมาก” ชาลีกล่าวต่อว่า “ท้ายสุดแล้ว เราก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเรามีแต่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น ตราบใดที่ LNG ยังคงอยู่ ค่าไฟฟ้าของเราก็จะสูงเพราะเราวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว”
และประการสุดท้าย ค่า FT ที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับค่า FT คือค่าไฟฟ้าผันแปร ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตั้งขึ้นเพื่อควบคุมไม่ให้ค่าไฟฟ้าไหลขึ้นลงแบบวันต่อวัน จนไปกระทบราคาสินค้าในท้องตลาด ชาลีเปรียบเทียบค่า FT ว่าคือเงินที่เราหยอดกระปุกใส่ให้ กฟผ. นำไปบริหารจัดการค่าไฟนั่นเอง
ชาลีอธิบายว่าค่า FT ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคิดเป็น 19.7% ของค่าไฟทั้งหมด ซึ่งที่พุ่งสูงขึ้นมาขนาดนี้เป็นเพราะในช่วง COVID-19 กฟผ. ยินยอมลดค่าไฟฟ้าจนต้องแบกรับหนี้ราว 1.2 แสนล้านบาท ดังนั้น สถานการณ์ตอนนี้ของคนไทยคือ “จ่ายค่าไฟสูงกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อใช้หนี้ที่เราไม่ได้จ่ายในอดีต”
2.ข้อเสนอลดค่าไฟ
นักวิชาการจากสถาบันนานาชาติสิรินธรเสนอทางออกสำหรับปัญหาค่าไฟในไทยทั้งหมด 5 ข้อ
ข้อแรก หยุดอนุมัติโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมทั้งระบบ โดยเฉพาะที่ใช้พลังงานจากฟอสซิล, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากในปัจจุบันเรามีโรงไฟฟ้าล้นเกินกว่าที่จำเป็นไปมากอยู่แล้ว แต่ทั้งที่รู้เช่นนั้น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วรภพ วิริยะโรจน์ จากพรรคก้าวไกลได้เปิดเผยว่า ก่อนการเลือกตั้งในปี 2562 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุมัติสัญญาโรงไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่ม 1,940 เมกะวัตต์ และก่อนสิ้นสุดอำนาจในปี 2566 ยังได้อนุมัติเพิ่มอีก 763 เมกกะวัตต์
ข้อที่สอง เลื่อน – เลิก – ลด โรงไฟฟ้าที่ต้องจ่ายค่าพร้อมจ่าย ชาลีเสนอไว้ 3 แนวทางสำหรับสัญญาสัปทานโรงไฟฟ้า กลุ่มแรก โรงไฟฟ้าที่ได้รับสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้เดินเครื่อง แต่รับค่าพร้อมจ่ายจนคุ้มทุนแล้ว รัฐบาลต้องเร่งเจรจาเพื่อขอลดค่าพร้อมจ่ายในส่วนที่เหลืออยู่ กลุ่มสอง โรงไฟฟ้าที่เซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่สร้าง รัฐบาลต้องเจรจาเพื่อขอให้ชะลอการสร้างออกไปก่อน ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่ประมูลได้แล้ว แต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา ต้องเจรจาขอยกเลิกการประมูล ไม่เซ็นสัญญาด้วย เพื่อไม่ให้โรงไฟฟ้าล้นเกินมากกว่าที่เป็น
ข้อที่สาม ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นเรื่องมติ ครม. ปี 2551 ชาลีมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ควรแก้มติ ครม. ดังกล่าว และควรให้บริษัทปิโตรเคมีที่ได้รับสัมปทานซื้อก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยในราคาพูลก๊าซ (ราคาเฉลี่ย) ซึ่งเขาคำนวณว่าจะทำให้ภาครัฐประหยัดเงินได้ประมาณ 40,000 กว่าล้าน/ ปี และจะทำให้ กฟผ. ไม่ต้องขึ้นค่า FT และสามารถชำระหนี้ของตัวเองได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี
“ผมยังสนับสนุนการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ ให้อย่างน้อยเอกชนต้องใช้ราคาพูลก๊าซ เมื่อใช้ก๊าซจากอ่าวไทย ทำแค่นี้เราจะทำให้เงินไหลกลับ และไม่ต้องจ่ายค่า FT ในส่วนที่เราค้างอยู่ได้เลย”
ชาลีเสริมว่า อันที่จริง ก๊าซในอ่าวไทยมีคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับก๊าซจากแหล่งอื่น และถ้าเป็นไปได้ เอกชนไทยที่ใช้ก๊าซจากแหล่งนี้ควรจ่ายในราคาก๊าซนำเข้าด้วยซ้ำ
ข้อที่สี่ รับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนถูกกว่าราคาขายส่งของ กฟผ. ชาลียกตัวอย่างว่า ถ้า กฟผ. ขายไฟฟ้าให้กับ กฟน. และ กฟภ. ในราคา 3 บาท/ หน่วย แต่ถ้าภาคประชาชนที่มีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กสามาถผลิตไฟฟ้าได้ในราคาที่ต่ำกว่า กฟผ. ผลิต กฟผ. ควรรับซื้อพลังงานเหล่านั้นทั้งหมด
“การรับซื้อเขาทั้งหมดจะเท่ากับว่าเราลดการซื้อก๊าซ LNG ที่มีราคาแพง เราจะลดไฟฟ้าในระบบที่มีราคาแพงลงไป แล้วแทนที่ด้วยราคาถูกกว่าราคาส่งในปัจจุบัน” ชาลีกล่าว
ชาลีอธิบายปัญหาของข้อเสนอนี้ว่า ในปัจจุบัน ภาครัฐมักอ้างคำว่า “สายส่งเต็ม” ทำให้ไม่สามารถรับไฟฟ้าที่ผลิตเพิ่มได้ แต่ชาลีมองว่าควรทำให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะ LNG ลดการผลิตลง เพื่อเปิดพื้นที่ให้พลังงานจากภาคประชาชนที่สะอาดและถูกกว่าเข้ามาแทนที่
ข้อที่ห้า สนับสนุนระบบ net metering หรือระบบหักลบกลบหน่วยอัตโนมัติจากไฟฟ้าที่ผลิตใช้เองจากโซลาร์เซลล์ ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าจะจ่ายค่าไฟฟ้าตามจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่หักลบแล้ว
ชาลียกตัวอย่างว่าถ้าโซลาเซลล์ที่บ้านของเขาสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 15 หน่วย แต่เขาใช้ไฟจริงแค่ 10 หน่วย ไฟฟ้าที่เหลือจะถูกส่งกลับไปที่สายส่งเพื่อมอบให้แก่บ้านข้างเรือนเคียง หรือตำบลอื่นที่ผลิตไฟฟ้าแล้วใช้ไม่พอ และเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องใช้ไฟ กำลังผลิตที่ล้นเกินจะถูกนำมาทดจากจำนวนที่ใช้เพิ่ม คล้ายกับว่าเขามีคูปองไฟฟ้าฟรีเพิ่ม 5 หน่วยนั่นเอง
“สมมติตอนกลางวัน ผมผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าที่ใช้ มิเตอร์ของผมจะเดินถอยหลัง แต่พอตอนกลางคืน ผมผลิตไฟฟ้าไม่ได้แล้ว ผมก็ดึงไฟจากข้างนอกมาใช้ มันก็จะเดินหน้า มันจะเดินหน้า-ถอยหลังอยู่แบบนี้ แล้วพอปลายเดือนค่อยมาดูมิเตอร์ว่าเราใช้เท่าไหร่ ก็จ่ายค่าไฟเท่านั้น”
ชาลีอธิบายว่าวิธีนี้จะทำให้ประชาชนหันมาติดโซลาเซลล์มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นพลังงานสะอาดแล้ว ยังทำให้ประชาชนคืนทุนจากการติดโซลาเซลล์ได้เร็วมาก โดยเขาคาดการณ์ว่าใช้เวลาเพียงแค่ 4 ปีจากอายุการใช้งานโซลาเซลล์เฉลี่ยที่ 20 ปี
“ถ้าทุกหลังติดโซลาเซลล์แล้วขายไฟส่วนเกินเข้าสู่ระบบ มันจะลดการใช้ไฟที่บ้านเรา และลดค่าไฟในระบบลงด้วย เพราะค่าไฟที่ขายในระบบจะถูกกว่าไฟที่ซื้อในต่างประเทศ ดังนั้น เราจะขยายพลังงานหมุนเวียนได้ไวมาก และยิ่งขยายเร็วเท่าไหร่ เราจะไปถึงเป้าหมาย zero net carbon ได้เร็วเท่านั้น” ชาลีกล่าว
อย่างไรก็ตาม ชาลีมองว่าในปัจจุบันยังมีอุปสรรคที่ทำให้ภาครัฐไม่ดำเนินการเรื่องนี้คือ ภาครัฐไม่ว่า กฟผ., กฟน., กฟภ, รวมถึงกระทรวงการคลังจะเสียผลประโยชน์จากการขายไฟ และภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง และมีโอกาสสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ยากขึ้น
“แต่ทั้งหมดที่เสียกันทุกคน คนที่ชนะคือประชาชน ประเทศชาติ และสิ่งแวดล้อม” ชาลีทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก
https://www.egat.co.th/home/egat-development-plan/
https://www.egat.co.th/home/statistics-all-latest/
https://thaipublica.org/2014/06/thai-energy-reform-watch/
https://prachatai.com/journal/2023/03/103329