ถ้าลองนึกถึงวันที่ต้องขับรถไปคนเดียว แล้วจำเป็นต้องไปจอดในที่จอดรถที่ทั้งมืดและเปลี่ยว หนึ่งในความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงหลายๆ คนก็คงหนีไม่พ้น ‘ความรู้สึกไม่ปลอดภัย’ ดังนั้นในบางสถานที่จึงสร้าง ‘Lady Parking’ หรือที่จอดรถสำหรับผู้หญิงขึ้นมา
แต่ประเด็นเรื่อง Lady Parking กับความไม่เท่าเทียมทางเพศก็วนเวียนกลับเข้ามาในโลกโซเชียลอีกครั้ง หลังมีชายคนหนึ่งถ่าย TikTok ที่จอดรถสำหรับผู้หญิงในปั๊มน้ำมันแล้วแสดงสีหน้าในเชิงตั้งคำถาม พร้อมเขียนแคปชั่นว่า “ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่ไหนคือที่จอดรถสำหรับผู้ชาย🤔”
แต่ก่อนที่จะเล่าถึงประเด็นที่จอดรถสำหรับผู้หญิงกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ เราขอเท้าความกลับไปก่อนว่า ‘Lady Parking’ หรือที่จอดรถสำหรับผู้หญิงเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1990 หลังจากที่เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออกรวมชาติกัน ประชากรในประเทศก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งข้อกังวลที่ตามมาก็คือ อาชญากรรมก็อาจจะเพิ่มขึ้น หัวข้อความปลอดภัยสาธารณะ จึงกลายมาเป็นประเด็นที่ผู้คนในสังคมพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในตอนนั้น และเพื่อลดความรู้สึกไม่ปลอดภัยของประชาชน ก็ได้เกิดแนวคิดเรื่อง ที่จอดรถสำหรับผู้หญิง (Frauenparkplatz) ขึ้นมา
โดยสาเหตุที่ต้องเป็นที่จอดรถสำหรับผู้หญิง ก็เป็นเพราะว่า เรื่องของความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ว่าด้วย ‘ความรู้สึก’ ซึ่งในเยอรมันเมื่อปี 1990 พลเมืองเพศหญิงมีจำนวนทั้งสิ้น 41.2 ล้านคน มากกว่าเพศชายถึง 2.7 ล้านคน ผู้หญิงในตอนนั้นจึงกลายมาเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสังคม
ไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลว่าผู้หญิงมีจำนวนเยอะกว่าผู้ชาย รัฐบาลจึงจัดที่จอดให้ผู้หญิง เพราะในตอนนั้น ผู้หญิงก็กลัวว่าจะถูกล่วงละเมิดทางเพศเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างน้อย สอดคล้องกับจากรายงานการสำรวจสถิติอาชญากรรมทั่วโลกในปี 1989 ระบุอย่างชัดเจนว่า “ผู้หญิงมักตกเป็นผู้เสียหายมากกว่าผู้ชาย ทั้งอาชญากรรมทางเพศ และอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่นการล้วงกระเป๋า ดังนั้น ในลานจอดรถซึ่งมีแสงสว่างน้อยและเงียบเชียบ จึงเป็นสถานที่ที่ต้องการความระแวดระวังสำหรับสุภาพสตรีเป็นพิเศษ”
อีกทั้ง ในช่วงเวลานั้น ยังเริ่มมีการส่งเสริมให้ผู้หญิงออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน และไปทำงานมากขึ้น แนวคิดเรื่องที่จอดรถสำหรับผู้หญิงจึงเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมนี้
รวมไปถึง ในยุโรปช่วงเวลานั้น กลุ่มเฟมินิสต์ก็ยังเคลื่อนไหวในเรื่องการสร้างสวัสดิการสนับสนุนเพศหญิงในแง่นโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจ ก็เป็นส่วนสนับสนุนที่ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับผู้หญิง อย่าง Lady Parking ขึ้นอีกเช่นกัน
ส่วนในประเทศไทย ที่จอดรถสำหรับผู้หญิงก็มีให้เห็นกันมากขึ้นช่วงปี 2013 โดยคาดการณ์ว่าเกิดจาก กรณีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า ในจังหวะที่เธอเดินไปเปิดรถ ก็ถูกชายคนร้ายใช้มีดจี้เหยื่อเพื่อพยายามเข้าชิงทรัพย์ แต่เธอขัดขืน คนร้ายจึงแทงเข้าที่ลำคอของผู้เสียหายจนเสียชีวิต ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่ต้องขับรถคนเดียว
หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็มีข่าวเกี่ยวกับการสร้างที่จอดรถสำหรับผู้หญิงขึ้นมา โดย ม.ร.ว.สุทธิภาณี ยุคล หนึ่งในผู้ใช้บริการที่จอดรถสำหรับผู้หญิง ยังเคยกล่าวไว้ว่าการมีที่จอดรถโซนนี้ ทำให้รู้สึกอุ่นใจในการเข้าไปใช้บริการมากขึ้น ถ้าต้องการให้เจ้าหน้าที่ รปภ.ช่วยเหลือ อย่างถือของไปที่รถ หรือเดินไปส่งที่รถ ก็สามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ รปภ.หญิงประจำโซนทราบได้อีกด้วย
นอกจากเรื่องความปลอดภัย ก็ยังมีข้อมูลที่ชี้ว่าจุดประสงค์ของการที่ห้างสรรพสินค้าในหลายๆ แห่งจัดให้มีที่จอดรถสำหรับผู้หญิง ก็อาจทำไปเพื่อดึงดูดให้ผู้หญิงวางใจในการออกไปช้อปปิ้งให้ห้างมากขึ้น เพื่อสร้างกำไรให้กับธุรกิจอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ดี หลังจากที่เกิด Lady Parking ขึ้น หนึ่งในคำถามที่มักตามมาด้วยนั่นก็คือเรื่องของ ‘ความเท่าเทียม’ และ ‘การเลือกปฏิบัติ’ เพราะยังมีคนที่มองว่าการที่ผู้หญิงสามารถเลือกได้ว่าจะจอดรถที่โซนจอดรถของผู้หญิง หรือจะไปจอดในที่จอดรถทั่วไป คือการให้สิทธิพิเศษกับคนเฉพาะกลุ่ม และเป็นก้าวล้ำสิทธิของคนอื่นๆ
ในประเด็นนี้ ดาราณี ทองศิริ นักสิทธิมนุษยชนและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเฟมินิสต้า เคยให้ความเห็นไว้ว่า “ตราบใดที่สังคมยังเต็มไปด้วยการล่วงละเมิดทางเพศและกลุ่มบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายยังคงเป็นผู้หญิง การหาทางปกป้องกลุ่มเปราะบาง ย่อมเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”
แน่นอนว่าลานจอดรถ รวมไปถึงสถานที่ทุกแห่งก็ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เช่นเดียวกับที่สมาคมยานยนต์ในเยอรมัน หรือ The German Automobile Association (ADAC) เคยระบุถึงโมเดลที่จอดรถสมัยใหม่ว่า ลานจอดรถทุกแห่งควรเป็นอย่างที่จอดรถสำหรับผู้หญิง คือมีแสงไฟเพียงพอ ไม่มีมุมอับหรือจุดบอดที่เสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรม ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยทั่วถึง และมีระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน
ความเห็นของ ADAC ก็สอดคล้องกับ สุริยี เคมเป้ (Suriani Kempe) ผู้จัดการแผนพัฒนาความเท่าเทียมทางเพศและส่งเสริมสิทธิสตรีในมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในคนผลักดันให้เกิดการบริการเฉพาะเพศหญิง (Women-only service) ที่ระบุว่าที่จอดรถสำหรับผู้หญิงก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียม และการแบ่งแยกผู้หญิงออกจากผู้ชาย ไม่ใช่ทางแก้ของอาชญากรรมทางเพศที่ยั่งยืน
แล้วทำไมไม่เรียกร้องให้ทุกคนได้มีความปลอดภัยเหมือนๆกัน? สำหรับประเด็นนี้ ดาราณี มองว่าคำถามเหล่านี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า เพศไหนๆ ก็มีความเสี่ยงไม่ปลอดภัยจากการถูกทำร้ายตามลานจอดรถได้ “แต่ปัญหาของการตั้งคำถามเช่นนี้ คือการมองปัญหาที่เกิดขึ้นในระนาบเดียวกันทั้งหมด โดยขาดการพิจารณาบริบทเฉพาะและสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงว่าอาชญากรรมทางเพศส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในลานจอดรถมักเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้หญิง”
“แทนที่เราจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีสิทธิเฉพาะสำหรับผู้หญิง เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่าสังคมแบบไหนที่ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ สังคมแบบไหนที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะต้องเดินทางร่วมกับผู้ชาย และเราจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนทุกเพศได้อย่างไร หรือเราจะสอนลูกหลานเราไม่ให้ทำความรุนแรงทางเพศคนอื่นๆ ได้อย่างไร ไม่ว่าลูกหลานเราจะเป็นเพศใดก็ตาม”
หากจะทำลานจอดรถที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ดาราณีเสนอว่าต้องพิจารณาว่าคนกลุ่มใดบ้างที่ต้องการความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่มาคนเดียว ผู้ชายที่มาคนเดียว LGBTQ+ ฯลฯ เพื่อหามาตรการที่ตอบโจทย์ให้คนที่ต้องการความปลอดภัยและเสี่ยงถูกทำร้าย “การทำงานนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นหากเราเอาแต่ตั้งคำถามซ้ำๆ แค่ว่า เรียกร้องความเท่าเทียมแต่ทำไมต้องมีลานจอดรถเฉพาะของผู้หญิง”
สุดท้ายนี้ ดาราณียังเสริมอีกว่า การเลือกปฏิบัติเชิงบวกหรือการยืนยันสิทธิเฉพาะของกลุ่มที่เข้าไม่ถึงโอกาส หรือมีภาวะเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรงทางเพศ ก็ยังคงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กับการรณรงค์ให้ทุกที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย
“เพราะตราบใดที่สังคมไม่ตระหนักว่าทุกคนควรเข้าถึงพื้นที่สาธารณะได้เท่าเทียมกันโดยไม่เสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรง คดีอาชญากรรมก็จะยังเกิดขึ้นกับผู้หญิงหรือคนที่มีแนวโน้มถูกใช้ความรุนแรงในกลุ่มต่างๆ” ดาราณีกล่าว
อ้างอิงจาก