ประเด็นการสร้างเขื่อนที่ป่าคลองมะเดื่อ-เขาใหญ่ จังหวัดนครนายก กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกอินเทอร์เน็ต จนเกิด #saveคลองมะเดื่อ #คัดค้านเขื่อนคลองมะเดื่อ เพราะสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ ร่มรื่น เหมือนอย่างกับหลุดออกมาจากภาพวาด จนทำให้ผู้คนโดยเฉพาะคนในพื้นที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนในบริเวณป่าแห่งนี้
เล่าก่อนว่า การก่อสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่นั้นเพิ่งเกิดขึ้นราวกลางศตวรรษที่ 20 โดยจุดประสงค์หลักของการสร้างเขื่อนก็คือ การชลประทานเพื่อการเกษตร การผลิตไฟฟ้า และการเก็บน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งในขณะนี้ทั่วโลกมีเขื่อนประมาณ 60,000 แห่ง และยังมีแผนการสร้างเขื่อนเพิ่มอีกประมาณ 30,000 กว่าแห่ง
เท่ากับว่าเขื่อนนั้นก็มีประโยชน์กับมนุษย์มากพอสมควร แล้วทำไมมันถึงกลับถูกต่อต้าน?
เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีคำตอบสั้นๆ อยู่ในใจก็คือ “การสร้างเขื่อนต้องแลกกับพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและหากินของคนในพื้นที่และสัตว์ป่า” ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง และมันก็ยังมีข้อเสียอื่นๆ หยิบย่อยอีกมากมาย เช่น
– ทำลายระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของแม่น้ำ
– ทำลายความมั่นคงทางอาหารและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
– ผลิตก๊าซมีเทนซึ่งเป็นอันตรายต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งภาวะโลกร้อนเกิดจากการปล่อยก๊าซมีเทนถึงร้อยละ 25
– การสร้างและการบำรุงรักษาเขื่อนใช้งบประมาณจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญมากมายออกมาระบุว่า “การสร้างเขื่อนส่งผลเสียมากกว่าผลดี” โดยก่อนหน้าพวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่ผลกระทบของเขื่อนที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศของแม่น้ำเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันพวกเขาเล็งเห็นผลเสียของมันมากขึ้นเหมือนดังที่กล่าวไปข้างต้น และยังระบุเสริมอีกว่า เขื่อนนั้นยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมและภัยแล้งอีกด้วย
“การระบุว่าเขื่อนช่วยรับมือกับปัญหาทางสภาพอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นั้นไม่ค่อยถูกนัก และการที่มันยังถูกขนานนามว่าเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย” อิซาเบลลา วิงค์เลอร์ (Isabella Winkler) ผู้นำองค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าว
ไม่เพียงเท่านี้ ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรดานักวิทยาศาสตร์จำนวนมากยังออกมาเตือนว่า การสร้างเขื่อนกั้นทางน้ำนั้นคุกคามระบบนิเวศที่ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างต้องพึ่งพิง โดยพวกเขากล่าวว่า สายน้ำที่ไหลตามธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารสำคัญให้กับผู้คนนับล้านคน เพราะมันทำหน้าที่พัดพาตะกอนดิน ซึ่งสำคัญต่อการทำการเกษตร
และแม่น้ำเหล่านี้ยังช่วยบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมและภัยแล้ง รวมถึงส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศอีกด้วย อย่างไรก็ดี ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเขื่อนพลังงานน้ำมากที่สุดก็คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งรัฐบาลของลาวยังมีนโยบายจะสร้างเขื่อนเพิ่มอีกหลายแห่งตามแม่น้ำโขงและลำน้ำอื่นๆ
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สัตว์ป่าและผู้คนนับล้านที่อยู่รอบแม่น้ำโขงจะได้รับกระทบอย่างหนัก” เซบ โฮแกน (Zeb Hogan) นักชีววิทยาปลาแห่งมหาวิทยาลัยเนวาดา สหรัฐฯ กล่าว
“พลังงานน้ำถือเป็นพลังงานทดแทนก็จริง แต่มันไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ..เพราะเขื่อนจะกั้นการไหลของสายน้ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของปลา” เฮอร์แมน แวนนิงเกน (Herman Wanningen) นักนิเวศวิทยาทางน้ำระบุ
ดังนั้นในปัจจุบันหลายๆ ประเทศจึงตัดสินใจยกเลิกการสร้างเขื่อน เช่น ประเทศจีนที่ยุติการสร้างเขื่อนหลายโครงการในประเทศของตน (แต่มีแผนจะสร้างเขื่อนในประเทศรอบๆ แทน) นอกจากนี้ ประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่านก็ยุติการดำเนินการสร้างเขื่อนไปเมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากเผชิญแรงต่อต้านจากนักรณรงค์สิ่งแวดล้อมไม่ไหว
ทั้งนี้ คริสเตอร์ นิลส์สัน (Christer Nilsson) นักนิเวศวิทยาภูมิทัศน์แห่งมหาวิทยาลัยอูเมโอ ประเทศสวีเดนกล่าวว่า “มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และคุณค่าทางสังคมที่ยึดโยงกับแม่น้ำมากขึ้น ทำให้เราตระหนักกันได้แล้วว่า เราทำลายธรรมชาติไปมากเพราะการสร้างเขื่อน”
“เราสร้างเขื่อนเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่ใช่ทำเพื่อธรรมชาติ ..ซึ่งเราต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่ต่อต้านธรรมชาติ” เฮอร์แมน แวนนิงเงน (Herman Wanningen) ผู้ก่อตั้งกลุ่มต่อต้านเขื่อนในยุโรปกล่าว
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนจำนวนมากกำลังจับตาดูประเด็นการสร้างเขื่อนที่ป่าคลองมะเดื่อ จังหวัดนครนายกว่าจะมีบทสรุปอย่างไร ซึ่งมีคนบางส่วนออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า “ปลัดมหาดไทยให้เหตุผลในการสร้างเขื่อนนี้ว่า เพราะจังหวัดนครนายกน้ำท่วมบ่อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน ทำให้ต้องสร้างเขื่อน” แต่คนในพื้นที่กลับออกมากล่าวว่าพวกเขาไม่รู้เรื่อง จนนำมาซึ่งการตั้งคำถามว่าโครงการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาเพื่อให้ผลประโยชน์กับใครกันแน่?
อ้างอิงจาก