อาจยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่กับตำแหน่งการนั่งของ ชวน หลีกภัย ที่เคยดำรงตำแหน่งอดีตประธาน สภาฯ ในครม.ก่อน แต่ในวันนี้ลุกขึ้นพูดในฐานะ สส.ประชาธิปัตย์ ระหว่างแถลงนโยบาย วันนี้ (12 กันยายน) ด้วยการเริ่มต้นขอบคุณสมาชิกพรรคทั้ง 25 คน ที่สละเวลาให้ร่วมอภิปราย
ชวน กล่าวว่า แม้จะเคยโหวตไม่เห็นชอบให้ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ แต่ก็ไม่ใช่เพราะติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ เหตุผลมาจากนายกฯ มาจากจากพรรคที่เลือกปฏิบัติกับประชาชนครั้งเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งกลั่นแกล้งไม่พัฒนาพื้นที่ภาคใต้ นั่นจึงเป็นที่มาของการรณรงค์ของ ปชป. ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“เมื่อขอร้องประชาชนไม่ให้เลือก แล้ววันหนึ่งมายกมือ หรือสนับสนุนหัวหน้าพรรคนี้เป็นนายกฯ เท่ากับหักหลังชาวบ้าน ทรยศประชาชน” นั่นจึงเป็นเหตุของการตัดสินใจของชวน
อดีตนายกฯ รายนี้ ระบุว่า ยังคงให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ เศรษฐา ว่านั่นอาจเป็นผลพวงจากนโยบายรัฐในอดีต เพราะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งมาจากการเสนอชื่อของพรรคเพื่อไทย มีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ
“ถ้าจะเสนอแนะก็อย่าไปล้ำเส้น อย่าไปติดคุก อย่าต้องหนีออกต่างประเทศ อย่าทำอะไรก็ตามที่จะมีปัญหาเมื่อท่านพ้นตำแหน่ง วันนี้ยังวัดไม่ได้ท่านครับ ว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่” ชวนให้ความเห็น
ทั้งระบุว่า มาตรฐานการเสนอชื่อนายกฯ ของพรรคไทยรักไทย รวมถึงพลังประชาชน ในอดีตทั้ง 5 คนนั้น จนถึงตอนนี้บางรายถูกคดีอาญา ดังนั้นชะตากรรมของนายกฯ เศรษฐาจึงขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบัน นั่นจึงเป็นความจำเป็นของการตรวจสอบนโยบายรัฐบาล
ระหว่างการอภิปรายนั้น อดิศร เพียงเกษ สส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงประธานสภาฯ ในเหตุที่ไม่ปรามผู้อภิปรายว่ากำลังพูดความหลัง อยากให้การแถลงนโยบายก็พูดเรื่องนโยบาย อย่าพูดถึงความหลัง อย่าพูดคุณสมบัติ เพราะในอดีตตอนเกิดเหตุสึนามิ นายกฯ ก็ลงไปเยี่ยมถึงที่ พร้อมอ้างว่า นโยบาย 30 บาทก็ใช้ได้ครอบคลุมทุกจังหวัด “ที่ท่าน (ชวน) พูดนั้นมันเป็นหลังไป”
ทั้งนี้ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ วินิจฉัยว่ายังไม่ได้ผิดข้อบังคับจึงให้พูดต่อไป
ชวน กล่าวต่อถึงความกังวลว่า การเปลี่ยนบทบาทจากนักธุรกิจมาเป็นนายกฯ จะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจได้ เพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว จากที่เคยมีนักการเมืองต้องโทษด้วยเหตุนี้ถึง 10 คน จึงย้ำว่าอย่านำธุรกิจมาเป็นการเมือง
อดีตนายกฯ ชี้ว่า การเลือกปฏิบัติต่อพื้นที่ภาคใต้ของรัฐบาลครั้งก่อนๆ นั้น บางส่วนก็ได้รับการชดเชย อย่างการปรับปรุงถนนหนทาง นี่จึงเป็นโอกาสของนายกฯ เศรษฐา สามารถทบทวนความเสียหายของการเลือกปฏิบัติที่ผ่านมา ย้ำว่าไม่ต้องเชื่อทั้งหมด แต่ให้ไปหาความจริง
โดย ชวน ยกตอนหนึ่งของถ้อยแถลงนโยบาย ที่ระบุถึง ‘ความสามัคคีปรองดอง’ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนได้รับการปฏิบัติเสมอกัน ไม่ถูกยกเว้นเพราะความเห็นต่างทางการเมือง
7,520 ? นับเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตในจังหวัดชายแดนใต้ นับแต่ปี 2547 ที่ ชวน ยกขึ้นมาพูดถึง เพื่อย้ำถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่ยังคงดำเนินต่อ แต่ในแถลงนโยบายไม่ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวเลย อาจเขียนเพิ่มเติมในภาคผนวก แม้นายกฯ จะเคยพูดไว้ในวันรับตำแหน่งก็ตาม และย้ำหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งไว้หลายจุดในนโยบายก็ตาม
ชวน ยังย้อนเหล่าถึงการอยู่ร่วมกันของคนพุทธและมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัด ที่อาจมีปัญหาแต่อยู่ร่วมกันได้ แต่จุดเปลี่ยนอยู่ที่วันที่ 7 เมษายน 2544 แล้วเกิดระเบิดใน จ.สงขลา จนนำมาซึ่งการให้นโยบายของนายกฯ ในตอนนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการละเมิดหลักนิติธรรมในพื้นที่ ด้วยการปราบปรามกระทำผิดด้วยการใช้กำลัง
ระหว่างอภิปรายก็มี ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส. พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงอีกครั้งว่าเป็นการอภิปรายนอกประเด็น ก่อนที่ประธานจะอนุญาตให้อภิปรายต่อ
ในตอนท้าย ชวนยังฝากถึง นายกฯ เศรษฐาว่า “ให้กำลังใจทุกคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วท่านนายกฯ ก็จะปลอดภัยเมื่อครบ 4 ปี หรือไม่ครบก็ตาม โดยไม่ต้องติดคุกอันเกิดจากการทุจริต ไม่อยู่ในกลุ่มโคตรโกง โกงทั้งโคตร ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จ”
เวลาต่อมา เศรษฐา ได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณสำหรับโอวาทของชวน น้อมรับคำชม คำติ คำเตือน พร้อมกล่าวว่าอดีตนายกฯ อาจยังไม่รู้จักเขาดีพอ เพราะเรียกชื่อผิดในช่วงต้น “ผมเองถึงแม้ว่าเป็นนักธุรกิจมาก่อน ผมยืนยันครับว่าการที่ผมมาเดินตรงนี้ ยืนตรงนี้ ผมรักประเทศชาติ มีความต้องการเห็นประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น”
สำหรับประเด็นความสูญเสียในชายแดนใต้ นายกฯ ระบุว่า การสูญเสียไม่ควรเกิดขึ้น และมั่นใจว่ารัฐบาลที่มาจากประชาชนให้ความสำคัญกับสงบสุข ไม่น้อยไปกว่าเศรษฐกิจแน่นอน
ตอนท้ายคำชี้แจง เศรษฐา ให้ความเห็นถึงครั้งรัฐบาลไทยรักไทยที่ลงพื้นที่ภาคใต้เต็มที่จนเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะในเหตุการณ์สึนามิ และชี้ว่าการเลือกปฏิบัติต่อพื้นที่ใดโดยผู้บริหารสูงสุดเป็นเรืองไม่สมควร
“ไมว่ารัฐบาลนี้จะมี สส.ในภาคใต้หรือไม่มีก็ตาม เป็นความตั้งใจอันสูงสุดของผมในฐานะนายกฯ ต้องให้ความเป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียมกับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน” นายกฯ เศรษฐาย้ำ และระบุว่าการกระทำพิสูจน์ได้ดีกว่าคำพูด อย่างที่เขาได้ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกหลังรับตำแหน่ง
อ้างอิงจาก