วันนี้ (17 ตุลาคม) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลอาญาฯ พิพากษา 3 นักกิจกรรม ณัฐชนน, เบนจา และสมยศ มีความผิดในข้อหาดูหมิ่นศาล จากกรณีปราศรัยเรียกร้องปล่อยตัวผู้ต้องขังการเมืองหน้าศาลอาญาฯ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564
ศาลพิพากษาให้ ณัฐชนน-เบนจา” จำคุกคนละ 1 ปี 8 เดือน ปรับคนละ 30,100 บาท โดยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ส่วน สมยศ พิพากษาให้ลงโทษจำคุกรวม 1 ปี 8 เดือน 40 วัน ไม่รอการลงโทษ
ศาลระบุว่า คำปราศรัยของทั้ง 3 คน เข้าข่ายตำหนิ และด้อยค่าการใช้ดุลยพินิจศาล ไม่ใช่การวิจารณ์โดยสุจริต
สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 เมื่อครอบครัวของ เพนกวิน—พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ รุ้ง—ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ได้เข้ายื่นคำร้องขอประกันเพนกวินเป็นครั้งที่ 10 และขอประกันรุ้งเป็นครั้งที่ 6 หลังถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีในคดีมาตรา 112 ชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร มานานเกือบ 3 เดือน ทั้งทั้งสองยังอดอาหารประท้วงอีกเช่นกัน
กิจกรรมในช่วงท้าย เบนจาได้อ่านแถลงการณ์และโปรยรายชื่อแนบท้ายจดหมายถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าไปในรั้วศาลอาญา
ต่อมา ณัฐชนน, เบนจา และสมยศ ถูกศาลอาญาออกหมายจับ และอัยการก็ยื่นฟ้องว่าทั้ง 3 ก่อความวุ่นวาย โดยจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการโกนผม, เผารูปผู้พิพากษา ประมวลกฎหมาย และดอกไม้จันทน์ เพื่อแสดงความไว้อาลัยแก่ความอยุติธรรมของศาล, ติดป้ายผ้า “ปล่อยเพื่อนเรา”, ชักชวนให้กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมตะโกน ด่าทอ ตําหนิ โห่ไล่ แสดงอากัปกิริยาไม่พอใจ
นอกจากนี้ อัยการกล่าวหาด้วยว่า ทั้ง 3 และผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ที่ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว โดยการปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียง มีใจความสำคัญดังนี้
ณัฐชนนกล่าวว่า “ตอนนี้ เรามองว่าระบบความอยุติธรรมของไทย เป็นระบอบยุติธรรมที่มีความด่างพร้อย สมควรแก่การตั้งคําถามแก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง รบกวนมวลชนนั่งลงนิดนึงครับ เพื่อนบอกมา ดังนั้น วันนี้คุณแม่สุ ได้โกนหัวประท้วงให้กับระบบความยุติธรรม ที่ไม่ให้ประกันเพื่อนๆ ของเราทุกคน”
“พวกเราต่อสู้กับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม สู้คนที่มีอํานาจ ความเลื่อมล้ำในสังคม และระบอบเฮงซวยในประเทศนี้ พวกเราทุกคนในที่นี้เป็นประจักษ์พยานและเห็นได้ชัดว่า ณ ศาลอาญา รัชดาแห่งนี้ หมดความชอบธรรมที่จะตัดสินคดีใดๆ และหมดความชอบธรรมไร้ซึ่งความยุติธรรมไปแล้ว” ณัฐชนนกล่าวต่อ
ด้านเบนจา กล่าวว่า “การที่มีการฝากขังระหว่างพิจารณาคดีผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีที่เกี่ยวพันทางการเมือง ทั้งนี้พวกเค้าทั้งหมดยังถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาในระหว่างการดําเนินคดี และถูกฝากขังมาจนถึงวันนี้ ตอนนี้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคงอาจกล่าวได้ว่านี่คืออยุติธรรมและจุดต่ำตมที่สุดของการใช้กฎหมาย เพราะกลายเป็นว่ากฎหมายเหล่านี้ที่ควรจะมีบรรทัดฐานในการใช้ ไม่ว่ามาตราใด กลับกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปากของผู้เห็นต่างทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด”
ส่วนสมยศ กล่าวว่า “ในเมื่อเราถูกคุมขัง ดังนั้น เราจึงบอกว่าถ้าเดินหน้าไปเนี่ยคําว่ายุติธรรม กระบวนการพิจารณาในศาลจะสู่กระบวนการของเรา เราจะเดินหน้าไปไม่ได้ เพราะเราถูกขัง เราจะสู้คดีอะไรละครับ ผมก็แถลงต่อศาลว่า ผมจะสู้คดียังไง ฝ่ายพวกผมเป็นราษฎร…”
“ผมอยากให้น้ำตาของแม่เพนกวิน กลายเป็นน้ำกรดไปรดหัวใจผู้พิพากษาทั้งหมด ให้รับรู้ถึงความยุติธรรมมันหมายถึงอะไร..” สมยศกล่าว
ข้อความและการปราศรัยของทั้ง 3 อัยการระบุว่า เป็นการกระทําที่ดูหมิ่น ดูถูก เหยียดหยาม ลดคุณค่าของผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ว่าศาลหรือผู้พิพากษาที่มีคําสั่งยกคําร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของพริษฐ์และพวกใช้ดุลยพินิจพิจารณาคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นธรรม ทำให้กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมเกลียดชัง เป็นเหตุให้ศาลหรือผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีดังกล่าวได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ดี ทางด้านนักกิจกรรมทั้ง 3 ยืนยันว่า เป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุ และอีกทั้งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุมเรียกร้องสิทธิประกันตัว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความรุนแรง ไม่เข้าข่ายมั่วสุมก่อความวุ่นวาย
รวมถึง ในการปราศรัยดังกล่าว ก็เป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ให้สิทธิในการประกันตัวผู้ต้องหาในคดี 112 ซึ่งขัดต่อหลักการสากลในการสันนิษฐานว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด โดยจำเลยทั้งสามไม่ได้วิจารณ์หรือกล่าวถึงผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ
อ้างอิงจาก