ในแวดวงศิลปะตอนนี้ ชื่อของหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรกำลังเป็นที่พูดถึง เมื่อเริ่มมีการแชร์ข้อความ ‘Art centre is Art centre’ เพื่อแสดงจุดยืนให้หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ต้องเป็นหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับหอศิลป์ ของมหาวิทยาลัยศิลปากร? The MATTER สรุปไว้ให้แล้ว
1.หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากรคืออะไร?
หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นหอศิลป์หลักของมหาวิทยาลัยศิลปากร ใช้กลุ่มอาคารอนุรักษ์วังท่าพระเป็นอาคารนิทรรศการและสำนักงาน มีเป้าหมายในการพัฒนาวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย เผยแพร่องค์ความรู้ด้านศิลปะร่วมสมัย จัดกิจกรรมการศึกษา กิจกรรมศิลปะเชิงปฏิบัติการ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะร่วมสมัยอีกด้วย
หอศิลป์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นที่ประทับของเจ้านายหลายท่าน และยังเป็นที่ทำงานของช่างหลวง ซึ่งเวลาต่อมา ก็เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่การเรียนการสอนศิลปะแบบตะวันตกแห่งแรกของไทย แล้วก็กลายมาเป็นหอศิลปะของมหาวิทยาลัย
ก่อนหน้านี้ หอศิลป์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร จะเน้นไปที่การจัดงานจิตรกรรมไทยที่เน้นความสมจริง แต่ต่อมา ก็มีการปรับรูปแบบของงานที่นำมาจัดแสดงให้เป็นศิลปะร่วมสมัยมากขึ้น
ปรมพร ศิริกุลชยานนท์ อดีตผู้อำนวยการหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2021 ว่า มักมีคนถามอยู่เสมอว่าคนนอกสามารถเข้าไปในหอศิลป์ ของศิลปากร ได้ด้วยหรือ ซึ่งอาจารย์มองว่านั่นเป็นปัญหา เพราะหอศิลป์ของมหาวิทยาลัยควรมีบทบาทและมอบคุณประโยชน์ให้สังคมในวงกว้างมากกว่านี้
“…ทิศทางของเราก็ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเราจะเป็นพื้นที่สำหรับศิลปะร่วมสมัย” อ.ปรมพรกล่าวเมื่อปี 2021
2. ข้อความ ‘Art centre is Art centre’ คืออะไร?
ข้อความนี้ เริ่มมาจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 ตุลาคม) อ.ปรมพร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร ต้องเป็นหอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร”
“ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเราต่อสู้กับการพัฒนาหอศิลป์ในสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้ปิดตัวเองอยู่แค่ในรั้ว แต่พยายามเชื่อมโลกภายนอกให้เข้ามาสู่โลกภายในด้วยมิติทางการศึกษา เราเป็นหอศิลป์ในสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่ทำกิจกรรมร่วมสมัยอย่างต่อเนื่องและยังดำรงอยู่” พร้อมกับแนบรูปคำว่า ‘Art centre is Art centre’
ทาง The MATTER จึงติดต่อสอบถามไปยัง อ.ปรมพรถึงความหมายของโพสต์ดังกล่าว โดยอาจารย์ระบุว่า ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการบริหาร หรือเรียกง่ายๆ คือเป็นช่วงสุญญากาศ เพราะอาจารย์เพิ่งหมดวาระการเป็น ผอ.หอศิลป์แห่งนี้ไป
ส่วนคำถามที่ว่า ทิศทางต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น อ.ปรมพรระบุว่า “พูดยากค่ะ เพราะเป็นได้ทุกทาง” ตั้งแต่กลับไปแบบเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนที่จะมีการปรับ ไปจนถึงการมุ่งหาเงินในเชิงพาณิชย์ หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนพื้นที่หอศิลป์ที่แสดงงานนิทรรศการไปเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พื้นที่ทำกิจกรรมเพื่อการศึกษาศิลปะร่วมสมัยแล้ว ทางทีมหอศิลป์จึงทำแคมเปญแสดงจุดยืนว่า “หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ต้องเป็นหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร”
3. หอศิลป์ ศิลปากรมีความสำคัญอย่างไร?
อ.ปรมพรมองว่า การดำรงสถานะเป็นหอศิลป์ ในสถาบันการศึกษาเป็นเรื่องที่อาจารย์มองว่ามีความสำคัญมากๆ “โดยเฉพาะในทิศทางและสิ่งที่ทางทีมเราพยายามทำมาตลอด 10 ปี เพื่อให้หอศิลป์เปิดกว้างสู่โลกร่วมสมัยจริง ผ่านการคิวเรทนิทรรศการและจัดกิจกรรมการศึกษาประกอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง”
อ.ปรมพร ยังกล่าวอีกว่า หอศิลป์ของรัฐ (เช่นของศิลปากรที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ) คือ ‘พื้นที่เชิงสังคม’ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง “โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นสถาบันการศึกษา โดยสะท้อนความเป็นปัจจุบัน เคลื่อนตัวไปกับสังคมและโลก โดยใช้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่เรียนรู้ ดังนั้นมันคือ พื้นที่ที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้คนเข้ามาเรียนรู้ความเป็นไปในโลกปัจจุบันผ่านนิทรรศการศิลปะ”
“เราจึงทำกิจกรรมโดยคำนึงถึงประโยชน์ทางศิลปะและการศึกษาได้เต็มร้อย ซึ่งอย่างที่บอกว่า เราน่าจะเหลืออยู่ที่เดียวแล้วที่สามารถผลิตนิทรรศการของเราเอง และเข้มแข็งในแง่กิจกรรมร่วมสมัย ตอนนี้แทบจะสูญหายไปทีละแห่งตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว ซึ่งมันคือวิสัยทัศน์ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละมหาวิทยาลัยจริงๆ” อ.ปรมพรกล่าว
4. คนในแวดวงศิลปะคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนในแวดวงศิลปะออกมาแสดงความเห็น อาทิ ต้นข้าว ปาณินท์ อาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หอศิลป์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นสถาบันทางความคิด ที่สามารถนำเสนอและสื่อสารความร่วมสมัย ในระดับนานาชาติ เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในวงการศิลปะของไทย อย่างแท้จริง
“เราจำเป็นต้องมีพื้นที่ของการศึกษา ตั้งคำถามและค้นหาคำตอบที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันการศึกษา หอศิลป์ ในฐานะสถาบันทางความคิด จึงจำเป็นต้องดำรงอยู่ อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” อ.ต้นข้าวระบุ
นอกจากนี้ อรรฆย์ ฟองสมุทร อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภัณฑารักษ์ศิลปะและการจัดการศิลปะ ก็ยังเคยแสดงความเห็นถึงหอศิลป์ในสถาบันการศึกษา ว่าเป็นพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาหลายๆ สถาบันการศึกษาเลือกที่จะวางพันธกิจโดยมีหอศิลป์เป็นตัวชี้วัดทางวัฒนธรรม
“แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่าความเข้าใจดังกล่าวจะถูกบิดเบือนไปด้วยแนวคิดทางการตลาดก็ดี แนวคิดการหารายได้ก็ดี หรือแม้แต่อคติที่มีต่อประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ของศิลปะร่วมสมัยก็ดี ที่เข้ามาแทรกแซงสำนึกทางการศึกษาจากฝ่ายบริหารที่ไม่ว่าจะฝ่ายหัวก้าวหน้าหรือหัวอนุรักษนิยมล้วนมองหอศิลป์เป็นแหล่งระดมทุนมากกว่าแหล่งเรียนรู้”
อ้างอิงจาก