หลังเมื่อวานนี้ (13 พฤศจิกายน) ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า วันนี้โครงการดังกล่าวถูกเบี่ยงเบนรายละเอียดไปมาก จากที่ใช้เงินในงบประมาณกลายเป็นการออก พ.ร.บ.กู้เงิน และยังระบุว่า พ.ร.บ.นี้มีท่าทีจะผิดกฎหมายตาม ม.53 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินคลัง แล้วทำไมรัฐบาลถึงจะเดินหน้าทำต่อ ดังนั้นมีโอกาสที่ พ.ร.บ.จะถูกตีตกในภายหลัง
ดังนั้น The MATTER จึงพูดคุยกับ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยฯ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เกี่ยวกับ พ.ร.บ. กู้เงินของรัฐบาลสำหรับโครงการดิจิทัลฯ จำนวน 5 แสนล้านบาทว่า หากกฎหมายนี้ผ่านสภาไปได้ จะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง
เกริ่นก่อนว่า เมื่อวันที่ (10 พฤศจิกายน) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงข้อสรุปของรัฐบาลถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า จะใช้เงินทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน พร้อมทั้งระบุถึงเกณฑ์ของผู้ที่มีสิทธิได้รับเงิน 10,000 เช่น มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และต้องมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยคาดว่าโครงการจะเริ่มใช้ได้ในช่วงพฤษภาคม 2567 และสิ้นสุดลงในปี 2570
อย่างไรก็ดี เศรษฐา กล่าวถึงที่มาของงบประมาณที่จะถูกนำมาดำเนินนโยบายนี้ว่าจะมาจากการออก พ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท โดยจะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อกฎหมาย ก่อนที่จะเสนอต่อ ครม. และเข้าสู่การประชุมสภาฯ ในปี 2567
กลับมาที่การพูดคุยกับ ดร.สมชัย ถึงประเด็น พ.ร.บ.ดังกล่าว หากได้รับไฟเขียวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ก็จะเป็นหนี้ เพราะเป็นการกู้ ซึ่งในช่วงแรกๆ รัฐบาลพยายามระบุว่า จะไม่ใช่วิธีการกู้ แต่คิดว่าคงไม่มีช่องทางอื่นแล้ว จึงมาจบที่การกู้ ซึ่งจะทำให้เกิดหนี้สาธารณะอย่างแน่นอน ส่วนเหตุผลอื่นๆ ที่ถกเถียงกัน เช่น ฝั่งรัฐบาลจะกล่าวเสมอว่า ‘คุ้ม’ เพราะว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น GDP จะเติบโตขึ้นถึง 5% อย่างต่อเนื่อง 4-5 ปี” เขาระบุ
พร้อมเสริมว่า “พอเริ่มมีเสียงค้านเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลฯ มากขึ้น ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ออกมาค้านว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ GDP จะเติบโตสูงถึง 5% นอกจากนี้ ทางนักวิชาการยังเชื่อว่า นโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากนัก โดยประเด็นหลักๆ ของผู้ที่ไม่เห็นด้วยคือ ‘มันไม่คุ้ม’ เงินก้อนนี้สามารถเอาไปทำอะไรได้อีกหลายอย่างที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า”
โดย ดร.สมชัย ยกตัวอย่างนโยบาย เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน (Upskill/Reskill) ที่มีจำนวนอย่างน้อย 30 ล้านคน ซึ่งสามารถทำได้นานถึง 7 ปี ด้วยเงิน 5 แสนล้านบาท หรือการนำงบจำนวนนี้ไปดูแลเด็กเกิดใหม่ พัฒนาศูนย์เด็กเล็ก และช่วยเหลือครอบครัวรายได้น้อย ดังนั้นยังมีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือในสังคมอีกมากมาย
ซึ่งการเน้นไปที่นโยบายนี้ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายอื่นๆ แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าไม่กระทบก็ตาม โดยอาจสรุปได้ว่า การกู้เงินเพื่อนโยบายดิจิทัลฯ จะทำให้ประเทศไทยมีหนี้เพิ่มและเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ในระดับที่ไม่คุ้มกับเงินที่ต้องเสียไป
เขาระบุว่า อยากจะชวนให้รัฐบาลคิดว่า ถ้ารัฐบาลเชื่อมั่นอย่างแน่นอนว่าเงินก้อนนี้จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตถึง 5% อย่างต่อเนื่อง 4-5 ปี สิ่งที่รัฐบาลต้องจะทำคือ ควรวางแผนการใช้หนี้เงินกู้ก้อนนี้แยกต่างหาก อย่านำไปปนกับเงินกู้ หรือหนี้ที่มีมาก่อนหน้านั้น และควรจะจัดสรรงบประมาณเพื่อมาจ่ายคืนภายใน 4 ปีให้ได้
“ถ้ารัฐบาลนี้เป็นผู้กู้ งั้นก็ควรเป็นคนจ่าย เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ถ้าเชื่อว่ามันคุ้มค่าจริง และสามารถหาเงินคืนได้ ก็สามารถทำได้ ..สมมติถ้ากู้มาแล้ว และคิดว่าจะใช้คืนให้หมดภายใน 50 ปี แต่คนรุ่นอื่นต้องมาใช้หนี้หรือเปล่า ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ในแง่ที่คนส่วนใหญ่ค้าน แต่รัฐบาลก็ยังจะดำเนินการ ดังนั้นก็ต้องรับผิดชอบกับผลลัพธ์ที่ตามมาด้วย”
อ้างอิงจาก