ถ้าเราเป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมที่โดนยิง 31 ลูกในเกมเดียว เราจะรู้สึกอย่างไร…
ในช่วงที่ฟุตบอลทีมชาติกำลังถูกพูดถึงอย่างหนาหู The MATTER อยากชวนทุกคนมารู้จักกับ ‘ทีมอเมริกันซามัว’ ชาติที่ครั้งหนึ่งมีอันดับต่ำสุดจากการจัดอันดับของฟีฟ่า ก่อนจะสามารถสร้างผลงานอันน่าประทับใจ กลายเป็นตัวอย่างให้กับทีมกีฬาทั่วโลก ถึงขั้นที่เรื่องราวของพวกเขาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายช่วงต้นปี 2024
ย้อนกลับไปในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนโอเชียเนีย ปี 2002 ทีมชาติอเมริกันซามัวที่เพิ่งลงแข่งฟุตบอลระดับนานาชาติครั้งแรกเมื่อปี 1994 ได้ทำการฟาดแข้งกับทีมชั้นนำอย่างออสเตรเลีย ก่อกำเนิดผลการแข่งขันสุดช็อคที่กลายเป็นฝันร้ายของคนทั้งชาติ และกลายเป็นปีศาจในใจของผู้รักษาประตูในวันนั้นไปตลอดกาล
ทีมจากประเทศที่มีประชากรเพียง 65,000 คน เสีย 7 ประตู ภายใน 21 นาทีแรกของการแข่งขัน ก่อนที่ในตอนจบ เสียงนกหวีดจะดังขึ้นพร้อมกับตัวเลขสุดบ้าคลั่ง 31-0 หรือเท่ากับทีมอเมริกันซามัวโดนยิงเฉลี่ย 3 นาทีต่อ 1 ประตู ถือเป็นการพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติทั่วโลก และอันที่จริง ทีแรกสกอร์บอร์ดในวันนั้นขึ้นว่า 32 ต่อ 0 ด้วยซ้ำ ยังดีที่โดนแย้งในภายหลังว่า สกอร์ที่ถูกต้องคือ 31 พูดง่ายๆ คือโดนถล่มถึงขนาดที่คนนับจำนวนประตูยังนับผิดเลยทีเดียว
เหตุการณ์ดังกล่าวโด่งดังไปทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นแพร่สะพัดบนหน้าหนังสือพิมพ์กีฬาแทบทุกฉบับจนทีมอเมริกันซามัวได้รับการขนานนามว่าทีมชาติที่อ่อนที่สุด ทั้งยังถูกฟีฟ่าจัดอันดับไว้ที่ 203 เป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น โดยทุกคนสามารถรับชมภาพไฮไลต์ของแมตช์สุดเดือดได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=1wg9ox9F7Vw
“จบเกมวันนั้น เราเดินเข้าห้องแต่งตัว ผมก้มหัวแล้วร้องไห้ ผมรู้สึกอายมากจนไม่อยากเล่นฟุตบอลอีกต่อไปแล้ว” นิคกี ซาลาปู (Nicky Salapu) ผู้รักษาประตูผู้มีใจรักในลูกหนังอย่างเต็มเปี่ยมตัดพ้อ การถูกล่าตาข่ายถึง 31 ครั้งในเกมเดียวคือสิ่งเลวร้ายที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอดชีวิต แม้ช่วงแรก เขาจะยังกัดฟันสู้โดยรับใช้ชาติต่ออีกจนถึงปี 2004 แต่จนแล้วจนรอด ภาพในอดีตก็ตามหลอกหลอนจนเขาตัดสินใจหันหลังให้ทีมชาติในที่สุด
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปในอีกราวสิบปีต่อมา เมื่อชายที่ชื่อ โทมัส รอนเยน (Thomas Rongen) โค้ชมากประสบการณ์ได้เข้ามาบริหารจัดการทีมชาติที่ครั้งหนึ่งเล่นได้แย่ที่สุดในโลก นาทีนั้นอเมริกันซามัวยังไม่เคยเก็บชัยชนะในเกมอย่างเป็นทางการได้เลยสักครั้ง แถมในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 3 ครั้งที่ผ่านมาก็ถูกกระหน่ำไปมากถึง 129 ประตู งานของโค้ชโทมัสจึงหนักหนายิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขาเอเวอร์เรส ประกอบกับการที่เวลาเตรียมทีมเหลืออีกไม่มาก เขาจึงจำต้องงัดทุกวิธีการมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อยกเครื่องทีมใหม่เท่าที่เขาจะทำได้
โค้ชมาดดุให้ทีมฝึกซ้อมการจ่ายบอลพื้นฐาน พร้อมกับฟิตซ้อมร่างกายอย่างหนัก เพราะผู้เล่นหลายคนของทีมมีน้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน ก่อนจะทำการตัดสินใจครั้งสำคัญชนิดทำคนทั้งทีมตกตะลึง นั่นก็คือการที่โทมัสต่อสายไปชวนอดีตผู้รักษาประตูอย่างนิคกี ซาลาปูให้กลับมาเฝ้าเสาช่วยทีมอีกครั้ง
“ผมเรียกเขามา และขอร้องให้เขากลับมาเพื่อกำจัดปีศาจร้ายในตัวเอง” โค้ชโทมัสให้สัมภาษณ์
แม้ว่าการเสีย 31 ประตูจะเป็นแผลเป็นที่ไม่อาจรักษาให้หายขาด แต่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาเองก็อยากไถ่บาปที่ไม่ใช่แค่เขาที่ควรมีส่วนรับผิดชอบ ท้ายที่สุด นายทวารรุ่นเก๋าก็ตัดสินใจกลับมาลงเล่นให้กับอเมริกันซามัวอีกครั้งหลังห่างหายไปนานกว่า 6 ปี
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ปี 2014 โซนโอเชียเนีย ถูกจัดขึ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2011 โดยในนัดแรก อเมริกันซามัวมีคิวประเดิมสนามพบกับตองกา ชาติที่พวกเขาพ่ายแพ้มาตลอด และในช่วงต้นเกมก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะยังไม่เข้าข้างอเมริกันซามัว เพราะตองกาเป็นฝ่ายโหมบุกอยู่ฝั่งเดียว แถมยังเกือบจะทำประตูขึ้นนำได้ แต่เพราะการเซฟของซาลาปู ทีมจึงยังประคองตัวอยู่ในเกม ไม่โดนขึ้นนำไปก่อน
แบบฝึกการจ่ายบอลของโค้ชโทมัสเริ่มเห็นผลเมื่อเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อเมริกันซามัวสลับมาเป็นฝ่ายครองเกมและมีโอกาสลุ้นทำประตูมากขึ้น และก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า ก่อนหมดครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที ทีมจะขึ้นนำได้สำเร็จ ซึ่งประตูที่ซัดไกลกว่า 35 หลาก็พาให้เสียงเชียร์ในสนามดังกึกก้อง เป็นความดีใจแบบสุดเหวี่ยงที่ประเทศเล็กๆ อย่างอเมริกันซามัวไม่เคยสัมผัสมาก่อน
และความสุดเหวี่ยงในวันนั้นก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ 1 ประตู หลังจมอยู่กับฝันร้ายมากว่าทศวรรษ ในที่สุด ทีมที่หลายคนยกให้เป็นทีมที่ห่วยที่สุดก็สะกดคำว่า ‘ชนะ’ เป็นจนได้ เกมวันนั้นจบลงด้วยสกอร์ 2 ต่อ 1 นับเป็นชัยชนะครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติอเมริกันซามัว เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของโค้ชอย่างโทมัส ยอนเรน ทั้งยังเป็นการลบปีศาจร้ายในใจของผู้รักษาประตูที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยิงทะลุ 30 ลูกอย่างน่าชื่นชม
หลังจบเกม โค้ชกล่าวถึงลูกทีมคนสำคัญที่เขาชวนกลับมารับใช้ชาติเอาไว้ว่า “เขามองมาที่ผม ร้องไห้ แล้วพูดว่า ‘ผมสามารถบอกลูกได้แล้วว่าผมคือผู้ชนะ’ พูดตรงๆ มันยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะในเกมที่เพิ่งจบลงเสียอีก”
จากทั้งหมดที่ว่ามา จึงไม่น่าแปลกหากเรื่องราวที่ไม่ต่างจากนวนิยายหรืออนิเมะเรื่องนี้จะถูกหยิบยกมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งเจ้าของผลงานก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น ไทกา ไวทีที (Taika Waititi) นักทำหนังชาวนิวซีแลนด์ที่เคยคว้าออสการ์มาครองแล้วหนึ่งครั้ง
ก็คงต้องติดตามกันว่า เส้นทางของทีมที่แสนจะสร้างแรงบันดาลใจนี้จะออกมาเป็นอย่างไรเมื่อถูกฉายบนจอภาพยนตร์ แต่ที่แน่ๆ ในโลกความจริง สิ่งที่พวกเขาต่อสู้ฝ่าฟันมันเห็นผลอย่างเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ดูตัวอย่าง Next Goal Wins ภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของทีมชาติอเมริกันซามัวได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=YnwK5koetoo
หนังเข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
อ้างอิงจาก