ยิ่งกว่าในหนัง? ‘วิลเลียม’ ชายไร้บ้านในลอสแองเจลิส พบว่าตัวเองถูกขโมยอัตลักษณ์ แต่ดันถูกจับเสียเอง แต่แล้วในที่สุด สัปดาห์นี้ ‘แมทธิว’ ซึ่งสวมรอยเป็นวิลเลียม ก็ถูกจับแล้วหลังสวมอัตลักษณ์ของวิลเลียมมากว่า 30 ปี
‘วิลเลียม วูดส์’ กับ ‘แมทธิว เดวิด เคย์รัน’ พบกันครั้งแรกในฐานะเพื่อนร่วมงานร้านขายฮอตดอกในนิวเม็กซิโก สหรัฐฯ ต้นทศวรรษ 1980 หลังจากนั้นนับตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา ก็ไม่พบประวัติการใช้ชื่อหรือหมายเลขประกันสังคม (SSN) ของแมทธิวอีกเลย โดยเขาเริ่มสวมอัตลักษณ์เป็นวิลเลียม วูดส์ ตั้งแต่ปี 1990
อัยการสหรัฐ ระบุว่า แมทธิวเข้าถึงประวัติครอบครัวของวิลเลียมด้วยการค้นหาผ่านเว็บไซต์ข้อมูลลำดับวงศ์ตระกูล และนำข้อมูลนี้ไปขอรับสำเนาสูติบัตรในรัฐเคนตักกี้
เขาใช้บัตรประชาชนในนามของวิลเลียม ไปใช้ในการสมัครและเข้าทำงานที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไอโอวา กู้เงินรวมกว่า 200,000 ดอลลาร์ รวมถึงใช้อัตลักษณ์นี้ในการแต่งงานและมีลูก
เรื่องแดงขึ้นมาในปี 2019 ที่วิลเลียมรับรู้ว่าอยู่ๆ ตนเองก็มีหนี้สูงขนาดนี้ จึงไปที่ธนาคารและบอกว่าเขาไม่ต้องการจ่ายหนี้นี้ และพยายามปิดบัญชีที่แมทธิวเปิดในชื่อของเขา ซึ่งวิลเลียมก็แสดงหลักฐานทั้งบัตรประชาชน บัตรประกันสังคม แต่ธนาคารก็ถามคำถามหลายอย่างที่วิลเลียมตอบไม่ได้ จึงเรียกตำรวจมาจับวิลเลียมไป
แมทธิวก็ไม่นิ่งเฉย โดยแจ้งตำรวจว่าเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าถึงบัญชีธนาคาร(ที่เขาใช้ชื่อวิลเลียมเปิดบัญชี) และส่งหลักฐานจำนวนมาก(ที่ปลอมทั้งหมด)ให้กับตำรวจ วิลเลียมจึงโดนจับฐานขโมยข้อมูลส่วนตัวและแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น และเรื่องก็กลับตาลปัตร เมื่อตำรวจบอกว่าแท้จริงแล้วเขามีชื่อว่าแมทธิว เคย์รันต่างหาก
แน่นอนว่าวิลเลียมก็พยายามยืนยันตัวตนของตัวเอง จนผู้พิพากษามองว่าเขาไม่สามารถให้การได้อย่างปกติ จึงถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวช สรุปรวมแล้ว วิลเลียมต้องใช้เวลาในเรือนจำถึง 428 วัน และในโรงพยาบาลจิตเวชอีก 147 วัน และถูกปล่อยตัวหลังเขาเลือกที่จะไม่สู้คดีอีกต่อไป พร้อมจ่ายค่าปรับ 400 ดอลลาร์ และหยุดใช้ชื่อวิลเลียม วูดส์
แต่วิลเลียมไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังต่อสู้เพื่อเอาอัตลักษณ์ของเขาคืนมา และยื่นข้อพิพาทกว่า 30 คดีเกี่ยวกับรายงานข้อมูลเครดิตของวิลเลียมตัวปลอมอย่างแมทธิว ติดต่อโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไอโอวาที่แมทธิว(ในชื่อวิลเลียม)ทำงานอยู่ ซึ่งแมทธิวให้สัมภาษณ์ว่าวิลเลียมนั้นบ้าไปแล้ว และควรถูกขังไว้
ท้ายที่สุด นักสืบค้นหาบิดาผู้ให้กำหนดตามชื่อบนสูติบัตรของวิลเลียม และตรวจ DNA จนพบว่าวิลเลียม คือลูกชายของคนคนนั้น และคือวิลเลียมตัวจริง ไม่ใช่แมทธิวที่สวมรอยมากว่า 30 ปี “ชีวิตฉันจบแล้ว” แมทธิวกล่าวหลังตำรวจมาหาเขาพร้อมหลักฐานที่ชัดเจนอย่าง DNA
แมทธิว เดวิด เคย์รัน ในวัย 58 ปี อาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 32 ปี ฐานให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเครดิตยูเนี่ยน และขโมยอัตลักษณ์บุคคลอย่างรุนแรง ซึ่งขณะนี้กำลังรอกำหนดวันพิพากษา และในสัปดาห์หน้าจะมีการพิจารณายกเลิกการลงโทษวิลเลียม วูดส์ ตัวจริง
อัยการสหรัฐ พบประวัติวัยเด็กของแมทธิว ว่าเขามีชีวิตที่ยากลำบาก หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี ต้องเดินทางข้ามประเทศ มีประวัติขโมยรถ และเคยถูกจับกุม แต่ยังไม่มีประวัติขึ้นศาล
หลังมีข่าวว่าแมทธิวกระทำความผิด ทำให้ทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ ของแมทธิวตกใจมาก โดยมีจดหมายหลายฉบับเขียนถึงศาลว่าแมทธิวเป็นพ่อที่ดี จิตใจดี และวางใจได้
แนนซี ซิมเมอร์ ภรรยาที่อยู่กับเขามากว่า 30 ปีกล่าวว่า “ฉันเชื่อว่าแรงจูงใจของแมทธิวนั้นเรียบง่าย เขาเพียงแค่อยากสร้างครอบครัวและบ้าน ที่เขาไม่เคยได้สัมผัสในวัยเด็ก” และลูกของเขามองว่า ไม่ว่าจะอย่างไร แมทธิวก็เป็นพ่อของเขา
เหตุการณ์นี้ทำให้น่าคิดต่อไปว่า เมื่อมีคนสามารถขโมยอัตลักษณ์ของคนอื่นได้ด้วยข้อมูลที่เข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของเราในยุคที่เต็มไปด้วยร่องรอยดิจิทัล (Digital Footprint) จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐ หรือในไทยเองก็ตาม
อ้างอิงจาก