สมัยนี้แทบจะไม่มีผู้หญิงที่ต้องลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกแล้วนะ ทำไมเรายังพูดถึงประเด็นบทบาททางเพศ (Gender Role) กันอยู่? นี่อาจเป็นคำถามที่ใครหลายๆ คนสงสัย เมื่อเราพูดถึงปัญหาของ Gender Role ในสังคม แต่ในวันที่สถานบันครอบครัวพัฒนามากขึ้นในยุคปัจจุบัน สิ่งที่อาจถูกมองข้ามไปในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ดูเท่าเทียมมากขึ้นนั้น อาจเป็น ‘ความไม่เท่าเทียม’ ที่ซ่อนอยู่
แน่นอนว่าการแต่งงานที่ทำให้คู่รักผูกมัดกันอย่างเหนียวแน่น ทำให้คู่รักสามารถจัดการกิจการต่างๆ ในครอบครัวได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการทรัพย์สิน บริหารการเงิน หรือแม้แต่ดูแลบุตร เหล่านี้ล้วนเป็น ‘งานบ้าน’ ที่ต้องแบ่งปันความรับผิดชอบด้วยกัน การรับผิดภาระร่วมกันเหล่านี้ที่ทำให้พวกเขาไม่ได้เป็นเพียง ‘คู่รัก’ แต่เป็นเหมือน ‘ผู้ดูแลงานบ้านร่วมกัน’
แล้วจะเป็นอย่างไร หากอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยกำหนดบทบาทในการดูแลงานบ้าน? ซึ่งที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ถูกคาดหวังให้ทำงานบ้านและดูแลครอบครัวมากกว่า
กล่าวคือในกิจการของครอบครัวหลายอย่าง ผู้ที่มี ‘ลักษณะของความเป็นชาย (Masculinity)’ มักถูกคาดหวังให้รับผิดชอบงานบ้านที่เชื่อมโยงกับ ‘ความเป็นผู้นำ’ ซึ่งอาจรวมไปถึงงานที่ต้องตัดสินใจ ต้องจริงจัง และต้องแข่งขัน ลักษณะเหล่านี้อาจทำให้สมาชิกครอบครัวซึ่งมีอัตลักษณ์ดังกล่าว ถูกสังคมคาดหวังให้มีบทบาทเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ในแง่ของผู้ที่มีหน้าที่ ‘หาเงินเข้าบ้าน’
ในขณะผู้ที่มี ‘ลักษณะของความเป็นหญิง (Femininity)’ อาจถูกมองว่ามีลักษณะของ ‘ผู้ตาม’ มากกว่า โดยมักทำให้ต้องรับผิดชอบงานบ้านที่มีความยืดหยุ่น อ่อนหวาน หรือนุ่มนวล อาจไม่ได้จำกัดกับแค่การดูแลบุตร ทำอาหาร หรือทำความสะอาดบ้าน แต่อาจรวมไปถึงการดูแลค่าใช้จ่ายประจำวัน หรือการดูแลผู้สูงอายุภายในบ้าน
ก็ถูกแล้วนี่ ใครถนัดอะไรอะไรก็แบ่งหน้าที่ตามความถนัดไปสิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร?
หลายฝ่ายอาจมองว่านี่คือการแบ่งหน้าที่อย่างเท่าเทียม แต่การแบ่งกิจการภายในบ้านเช่นนี้อาจสร้าง พลวัตทางอำนาจ (Power Dynamics) หรือความสามารถในการมีอิทธิพลในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ที่อยู่บนพื้นฐานความไม่เท่าเทียม กล่าวคือคนใดคนหนึ่งในความสัมพันธ์อาจได้รับผิดชอบงานบ้านที่มีความสำคัญกับความเป็นอยู่มากกว่า อย่างเช่นการเป็นแหล่งรายได้หลักของครอบครัว หรือการเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญของชีวิตคู่ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้ผู้นั้นมี ‘อำนาจมากกว่า’
อำนาจมากกว่ายังไง? ทุกวันนี้ก็แบ่งเงินใช้เท่ากัน เปิดรับฟังความคิดเห็นกันและกัน ไม่เห็นจะมีใครเสียเปรียบใครเลย
แม้ว่าดูผิวเผิน เราจะมองว่าทุกฝ่ายต่างเท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ แต่อยากชวนให้คิดตามว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้กระทั่งการหย่าร้าง ฝ่ายใดจะเป็นผู้มีอิทธิพลมากกว่า ระหว่างผู้ที่อ้างว่าตัวเองเป็น ‘คนหาเงินให้ใช้’ กับผู้ที่ถูกมองว่าเป็น ‘คนใช้เงิน’
ก็ถูกแล้วนี่ เพราะเอาแต่ใช้เงินไปวันๆ ก็ต้องเชื่อฟังคนให้เงินสิ
ความคิดเช่นนี้อาจมองข้ามอะไรไปหลายๆ อย่าง เพราะหากมองให้ลึกแล้วคำว่าครอบครัวมีอะไรมากกว่าคำว่า “ใช้เงินไปวันๆ” อย่างแรกต้องไม่ลืมว่ายังมีงานบ้านหลายอย่างที่เราอาจให้คุณค่าไม่มากพอ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการดูแลบ้านและความเป็นไปของครอบครัว เพราะเป็นงานที่ไม่ได้สร้างรายได้ แต่ก็เป็นงานที่อาศัยเวลาและพลังงานไม่น้อยไปกว่างานอื่นๆ
อีกทั้งการกำหนดบทบาทในครอบครัวถูกหล่อหลอมด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสังคม วัฒนธรรม หรือ Gender Role นี้ ไม่ได้เป็นทางเลือกที่อิสระอย่างที่เราคิด และหลายครั้งหน้าที่เหล่านี้ ก็ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของผู้ที่ต้องรับบทบาทนั้นด้วยซ้ำไป
แม้ว่าทุกวันนี้ในสังคมเราจะมีผู้หญิงที่ทำงานและหาเงินได้มากกว่าผู้ชายมากมาย แต่หลายๆ บทบาทในชีวิตของผู้หญิงก็ยังถูกยึดโยงกับ Femininity ทั้งการเป็นแม่ ภรรยา หรือลูกสาว เหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่กำหนดหน้าที่การเป็น ‘ผู้ดูแล’ ให้พวกเธอ และทำให้พวกเธอตกเป็น ‘ผู้ตาม’ ซึ่งอาจมีอำนาจน้อยกว่าในความสัมพันธ์ นี่อาจเป็นอีกหนึ่ง ‘การเสียเปรียบ’ ในสังคม ที่เราไม่ควรมองข้าม
อ้างอิงจาก