ประโยคที่ว่า “อยากเกิดเป็นหมา จะได้ไม่ต้องทำงาน” คงจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปเสียแล้ว เพราะเทรนด์ใหม่ล่าสุดจากประเทศจีน เริ่มส่งสัตว์เลี้ยงไปทำงานพิเศษในคาเฟ่ต่างๆ ในตอนกลางวันเหมือนๆ กับมนุษย์แล้ว
เจน เชว่ (Jane Xue) นักศึกษาปริญญาเอกชาวจีน วัย 27 ปี คือตัวอย่างเจ้าของที่ส่งสัตว์เลี้ยงไปทำงาน โดยน้องหมาของเธอชื่อว่า ‘น้องโอเค’ เป็นสุนัขพันธุ์ซามอยด์วัย 2 ขวบ ที่เริ่มงานวันแรกกลางเดือนกันยายน 2024 ที่คาเฟ่สุนัขในเมืองฝูโจว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
“ฉันรู้สึกว่ามันก็เหมือนกับพ่อแม่ที่ส่งลูกๆ ไปโรงเรียน” เจน เชว่ กล่าวกับสำนักข่าว CNN พร้อมอธิบายว่า เธออยากให้เจ้าโอเคได้ลองสัมผัสชีวิตที่แตกต่างออกไป และคิดว่ายังเป็นเรื่องที่ดีกับเจ้าโอเคเอง เพราะน้องจะได้เล่นกับสุนัขตัวอื่นๆ และไม่เหงาอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น อีกประโยชน์ของการส่งโอเคไปทำงานในตอนกลางวัน ยังทำให้เจน เชว่ กับแฟนสามารถประหยัดเงินเพิ่มขึ้นได้ เพราะถ้าเจ้าซามอยด์ขนยาวตัวนี้อยู่บ้านในฤดูร้อน ก็จะต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้น
สำหรับประเทศจีนในขณะนี้ มีกระแสที่เรียกว่า ‘Zhengmaotiaoqian’ ซึ่งหมายถึง รับค่าจ้างเป็นขนม หรือก็คือการที่เอาสัตว์เลี้ยงมาทำงานจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทไทม์หรือฟูลไทม์ ที่คาเฟ่แมวและคาเฟ่หมา เมื่อจบวันก็กลับบ้านไปหาครอบครัวในตอนกลางคืน เช่นเดียวกับมนุษย์อย่างเรา
ไม่ใช่แค่เจ้าของฝ่ายเดียวที่อยากส่งลูกๆ สัตว์เลี้ยงไปทำงาน เพราะในฝั่งของนายจ้างก็ต้องการจ้างงานเหล่าสัตว์เลี้ยงน่ารักเช่นกัน โดยฝั่งเจ้าของคาเฟ่ได้โพสต์โฆษณารับสมัครงาน และในฝั่งเจ้าของสัตว์เลี้ยงก็โพสต์เรซูเม่ของลูกๆ บนแอปพลิเคชัน Xiaohongshu ซึ่งเปรียบเสมือน Instagram ของจีน
“เรากำลังมองหาแมวที่แข็งแรงและมีอารมณ์ดี” เจ้าของคาเฟ่หนึ่งโพสต์ “เราให้ของว่างวันละชิ้น และส่วนลด 30% สำหรับเพื่อนของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่จะมาเที่ยวด้วย!”
เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหม ว่าแล้วการส่งลูกๆ ไปทำงาน จะได้เงินเดือนเท่าไรกันนะ? มีเจ้าของคาเฟ่คนหนึ่งได้เข้ามาให้คำตอบในโพสต์บนแอปดังกล่าว ว่า เจ้าแมวตัวหนึ่งที่มาทำงานที่คาเฟ่ของเขา ได้รับค่าจ้าง ‘หลังหักภาษีแล้ว’ เป็นอาหารแมวจำนวน 5 กระป๋อง
แต่ก็ใช่ว่าจะเดินเข้าไปทำงานได้เลย ก็เหมือนๆ กับมนุษย์นั่นแหละ ต้องผ่านกระบวนการสมัครและสัมภาษณ์งานเสียก่อน อย่างเจ้าหมาโอเค ก็มีเจ้าของคาเฟ่ที่มาเฝ้าดูอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อดูว่าน้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดีหรือเปล่า และเข้ากับสุนัขอีกสี่ตัวได้หรือไม่ และแล้วเจ้าโอเคก็ทำได้สำเร็จ และได้เข้าทำงานที่นี่
แต่ถ้ามนุษย์เจอภาวะหางานยากได้ฉันใด หมาแมวก็หางานยากได้ฉันนั้น โดย ซินซิน ครูสอนภาษาจีนวัย 33 ปีในปักกิ่ง เป็นเจ้าของแมว 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นแมวทักซิโดสีขาวดำ และอีกตัวเป็นสีส้ม นอกจากนั้นยังมีสุนัขพันธุ์ชิบะอินุอีก 1 ตัว
ซินซินพยายามหางานให้กับแมวทักซิโดวัย 2 ขวบของเธอ นามว่า ‘น้องจาง ปูเอ๋อ’ โดยเธอโพสต์เรซูเม่ใน Xiaohongshu ระบุว่า “แมวตัวนี้ขี้อ้อนและร้องครางเก่ง! แมวตัวนี้ถูกพระเจ้าเลือกให้ทำงานที่คาเฟ่แมว!” และเขียนเงินเดือนที่คาดหวังเป็นอาหารแมวกระป๋องหรือขนมแต่ก็ไม่มีเจ้าของคาเฟ่คนใดติดต่อมา จนซินซินกล่าวว่า “ฉันคิดว่าเจ้าของ (คาเฟ่แมว) จะติดต่อมาหาฉัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันต้องเป็นคนเริ่มส่งเรซูเม่ของ (แมว) ออกไปเองเสียแล้ว”
ซินซินบอกว่า วันๆ ของจาง ปูเอ๋อ มักใช้ไปกับการนอน และเล่น ส่งเสียงดังจนรบกวนการนอนหลับของเธอและสามี ไม่เพียงเท่านั้น ยังชอบมาขดตัวอยู่หน้าแล็ปท็อปของเธอตอนที่เธอทำงาน “(สามีของฉันและฉัน) อยากให้มันเป็นแมวที่ออกไปทำงาน เพื่อลิ้มรสการทำงาน และหาอาหารกินเองบ้าง” ซินซินกล่าว พร้อมหวังว่าการทำงานจะช่วยให้เจ้าแมวเผาผลาญพลังงานได้
คาเฟ่สัตว์เลี้ยง ถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศจีน ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเล่นและโต้ตอบกับสัตว์ต่างๆ ที่เดินไปมาในร้านได้ ดังนั้น เจ้าของร้านจึงเก็บเงินค่าบริการได้มากขึ้น โดยค่าเข้ามักอยู่ที่ประมาณคนละ 30-60 หยวน (ประมาณ 140-280 บาท) หรืออาจเป็นการสั่งเครื่องดื่มภายในร้านก็ได้
คาเฟ่แมวแห่งแรกของจีนเปิดให้บริการในเมืองกวางโจวทางตอนใต้ของจีนเมื่อปี 2011 และจำนวนสถานประกอบการประเภทนี้ เติบโตขึ้นถึง 200% ต่อปีในประเทศ ตามข้อมูลของ CBNData ซึ่งเป็นเอกสารทางการเงินที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน และในปี 2023 มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคาเฟ่แมวมากกว่า 4,000 แห่งในประเทศ
การส่งสัตว์เลี้ยงไปทำงาน นอกจากจะฟังดูสนุก หรือแปลก เทรนด์นี้ถือเป็นอีกสัญญาณที่สะท้อนยุคสมัย ที่มีการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้ จีนอาจจะมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากกว่าเด็กทารก ตามรายงานของ Goldman Sachs
แล้วคุณล่ะคิดอย่างไรกับเทรนด์นี้? คนเลี้ยงหมาแมวในไทยควรจะลองบ้างหรือเปล่า?
อ้างอิงจาก