แม้ ‘ปืน’ จะเป็นอาวุธที่เราต่างคุ้นเคย แต่สำหรับพลเมืองสหรัฐฯ มันกลับมีความหมายที่มากกว่านั้น จากกฎหมายเกี่ยวข้องกับการครอบครองปืนที่ค่อนข้างเสรี และข่าวดังหลายข่าวเกี่ยวกับการก่อเหตุรุนแรงหรือกราดยิง ทำให้นโยบายหนึ่งที่ถูกจับตามอง ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ คือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปืนนั่นเอง
ที่สำคัญ คือผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนประถม ‘แซนดี้ฮุก’ ในปี 2012 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 26 ราย ได้เติบโตมาจนถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ จนมีอายุพอที่จะมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกแล้ว
แม้จะรอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ผู้รอดชีวิตได้บอกเล่าประสบการณ์ว่าชีวิตของพวกเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขาอาจไม่สามารถเดินเข้าไปในห้องเรียนอย่างสบายใจ และต้องเดินสำรวจห้องทุกห้อง เพื่อหาทางออกที่ใกล้ที่สุดและสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับซ่อนตัวเผื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น และแม้กระทั่งเสียงทั่วไปในชีวิตประจำวันก็ทำให้พวกเขาตื่นกลัว เช่น เสียงปรบมือที่ดัง หรือเสียงขวดน้ำกระทบพื้น
เกรซ ฟิชเชอร์ (Grace Fische) หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าว่า ขณะนั้นเธออายุเพียง 6 ปี และรอดมาได้ด้วยการขดตัวนิ่งๆ ในขณะที่ครูประถมปีที่ 1 ของเธออ่านนิทานเดอะ นัทแคร็กเกอร์ กล่อมเบาๆ
ขณะนี้ ฟิชเชอร์อายุ 18 ปีแล้ว และเธอจะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้เธอและเพื่อนๆ มีความหวังว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ “นี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของเรา” ฟิชเชอร์กล่าว
นักเคลื่อนไหวในสมัยนั้น หวังว่าโศกนาฏกรรมนี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางกฎหมาย โดยเอ็มมา บราวน์ (Emma Brown) ผู้อำนวยการบริหารของกิฟฟอร์ด กลุ่มความปลอดภัยด้านอาวุธปืน กล่าว
“ประเทศถูกบังคับให้มองปัญหานี้ในแง่มุมที่โหดร้าย” บราวน์กล่าว “การสูญเสียเด็กๆ ทั้งหมดในห้องเรียนเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้ และมันเลวร้ายมาก แม้แต่นักการเมืองและผู้คนที่เคยพยายามทำตัวนิ่งเฉยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศนี้ ก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้”
ตั้งแต่เกิดเหตุ รัฐต่างๆ ก็ได้ผ่านกฎหมายความปลอดภัยของอาวุธปืนหลายร้อยฉบับ แต่ร่างกฎหมายของรัฐบาลกลางที่สำคัญซึ่งเสนอมา รวมถึงการห้ามใช้อาวุธกึ่งอัตโนมัติและแมกกาซีนความจุสูง ก็ไม่เกิดขึ้นจริง
หลังจากเหตุการณ์กราดยิงที่ลาสเวกัสในปี 2017 รัฐบาลทรัมป์ได้ออกกฎหมายห้ามใช้บัมพ์สต็อก ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับปืนที่ช่วยให้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติยิงได้เร็วขึ้น แต่ศาลฎีกาก็ได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวในปีนี้
ตามข้อมูลจากสำนักข่าว NBC News นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตจากการยิงปืนอย่างน้อย 122 รายในเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนที่วางแผนไว้ล่วงหน้า 64 ครั้ง และศูนย์ Johns Hopkins Center for Gun Violence Solutions เปิดเผยว่า ปืนเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในหมู่เด็กและวัยรุ่น โดยคร่าชีวิตผู้คนในวัย 1-17 ปีในสหรัฐอเมริกามากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์และโรคมะเร็งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
เอเรนส์ (Ehrens) ฟิชเชอร์ (Fischer) และผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์แซนดี้ฮุกอีก 2 คนที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว NBC News กล่าวว่า พวกเขาหวังที่จะพลิกกระแสได้ด้วยการเลือกรองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ (Kamala Harris) จากพรรคเดโมแครต เป็นประธานาธิบดี
พวกเขาเล่าว่า เคยได้ไปพบแฮร์ริสเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบขาว ในวันรณรงค์ให้ตระหนักถึงความรุนแรงจากอาวุธปืนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พวกเขาเล่าเรื่องราวให้แฮร์ริสฟัง ซึ่งแฮร์ริสขอบคุณพวกเขาสำหรับความกล้าหาญของพวกเขา
ตามวิดีโอที่ทำเนียบขาวเผยแพร่ออกมา แสดงว่า แฮร์ริสพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณไม่ควรต้องเจอกับประสบการณ์แบบนี้เลย […] รู้ไว้ว่าพวกคุณช่วยผลักดันเรื่องนี้ได้”
แฮร์ริสกล่าวว่าการปกป้องนักเรียนให้ปลอดภัยจากความรุนแรงจากอาวุธปืนในโรงเรียนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นโยบายของเธอต่ออาวุธปืน รวมถึงการห้ามใช้อาวุธจู่โจมและแม็กกาซีนความจุสูง และกำหนดให้มีการตรวจสอบประวัติบุคคลเพิ่มเติม
แฮร์ริสยังสนับสนุนกฎหมายที่เรียกว่ากฎหมายธงแดง ซึ่งอนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวหรือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายขอคำสั่งศาลเพื่อยึดปืนชั่วคราวหากพวกเขารู้สึกว่าเจ้าของปืนอาจก่อเหตุอันตรายได้
แมตต์ โฮลเดน (Matt Holden) ผู้รอดชีวิตอีกคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง กล่าวว่า นโยบายเหล่านี้แตกต่างจาก โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากที่ เจ.ดี. แวนซ์ (JD Vace) คู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี กล่าวว่า “เหตุยิงกันในโรงเรียนเป็นสัจธรรมของชีวิต”
ในการชุมนุม แวนซ์กล่าวว่าข้อจำกัดการใช้อาวุธปืนที่เข้มงวดไม่ใช่ทางออก และในทำนองเดียวกัน ในงานของสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติในเดือนพฤษภาคม 2024 ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของไบเดน ที่ออกแบบมาเพื่อลดความรุนแรงจากอาวุธปืน
บราวน์ ผู้อำนวยการบริหารของกิฟฟอร์ด กล่าวว่า กฎหมายความปลอดภัยของปืนเป็นหนทางข้างหน้า เพื่อให้แน่ใจได้ว่าการยิงกันในโรงเรียนจะไม่กลายเป็นบรรทัดฐานสังคม
กิฟฟอร์ตได้สนับสนุนเงิน 15 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแคมเปญหาเสียงของแฮร์ริส รวมถึงผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ ที่สนับสนุนให้มีกฎหมายปืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
“ผมขอโหวตให้กับ 26 คนที่ไม่สามารถทำได้” วาซิลนัค (Wasilnak) ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าว พร้อมอาลัยถึงผู้เสียชีวิตอย่างน่าสลดจากเหตุการณ์แซนดี้ฮุก
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงอาจบ่งบอกได้ถึงความต้องการของพลเมืองสหรัฐฯ ว่าต้องการเห็นสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายด้านต่างๆ อย่างไรต่อไป และสิ่งที่น่าติดตามคือการตอบสนองต่อแนวทางความคิดเห็นทางสังคมต่อเรื่อง ‘ปืน’ จากแฮร์ริส และทรัมป์ ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจใช้สิทธิเลือกตั้งของคนจำนวนไม่น้อย
อ้างอิงจาก