ทำไมครูถึงลาออก?
คำถามที่เราได้ยินวนเวียนกันอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม ไม่ว่าจะตัวระบบราชการที่กดทับคุณครูทุกระดับชั้น หรือภาระงานที่มีอะไรให้ทำมากกว่าการให้ความรู้และขัดเกลาเยาวชนของชาติ ซึ่งแลกมาด้วยค่าแรงที่แทบไม่พอหล่อเลี้ยงชีวิต ในขณะที่กระทรวงศึกษาฯ ก็ยังคงหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นเหมือนรากไม้ใหญ่นี้ไม่ได้เสียที The MATTER รวบรวมเหตุผลใหญ่ๆ ที่ทำให้ครูอยากลาออกมาให้ทุกคนลองอ่านกัน
#ภาระงานมากเกินไป
“คำว่าแบบเป็นครูแล้วสบายจะตาย คือตอนนี้จะตายแล้วแต่ยังไม่สบายเลย” สิ่งที่ครูโรงเรียนมัธมยมแห่งหนึ่งในภูเก็ตเคยให้สัมภาษณ์กับทาง The MATTER ซึ่งเธอเล่าว่า ภาระงานที่ต้องแบกไว้นั้นหนักหนาเหลือเกิน นอกเหนือไปจากงานเตรียมสอนแล้ว ยังต้องทำงานเอกสารอื่นๆ เพิ่มอีกมายมาย ไหนจะเข้าเวร จัดกิจกรรม จนทำให้มีเวลาในการจัดตารางเรียนให้มีประสิทธิภาพและน้อยลงไป ในขณะที่เวลาส่วนตัวของเธอเองก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
ภาระงานที่มากเกินไปได้นำไปสู่ข้องเรียกร้องจากกลุ่มครูต่างๆ เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการ ‘คืนครูให้ห้องเรียน’ เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่เป็นครูจริงๆ
#ค่าตอบแทนน้อย
เมื่อพูดถึงหน้าที่สารพัดอย่าง ที่ครูหนึ่งคนต้องทำแล้ว เราอาจจะเข้าใจว่าค่าตอบแทนที่พวกเขาได้คงจะสมน้ำสมเนื้อเหมาะสมกับงานและความรับผิดชอบที่มหาศาล แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เลย หลายเสียงของครูต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับค่าตอบแทนน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงกายแรงใจที่เสียไป
โดยเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามพ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลกรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 พบว่า
– ครูผู้ช่วย ขั้นต่ำ 15,050 บาท, ขั้นสูง 24,750 บาท
– ครู คศ.1 ขั้นต่ำ 15,440 บาท, ขั้นสูง 34,310 บาท
– ครู คศ.2 ขั้นต่ำ 16,190 บาท, ขั้นสูง 41,620 บาท
– ครู คศ.3 ขั้นต่ำ 19,860 บาท, ขั้นสูง 58,390 บาท
– ครู คศ.4 ขั้นต่ำ 24,400 บาท, ขั้นสูง 69,040 บาท
– ครู คศ.5 ขั้นต่ำ 29,980 บาท, ขั้นสูง 76,800 บาท
ซึ่งก็จะมีการประเมินเพื่อปรับเงินเดือน หรือหากใครต้องการให้เงินเดือนขยับสูงขึ้นเร็วกว่าระบบปกติ ก็ต้องทำวิทยฐานะเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเรื่องค่าตอบแทนแล้ว สวัสดิการต่างๆ ของครูเองก็ไม่ได้ถูกทำความเข้าใจขนาดนั้น ทั้งการทำงานล่วงเวลา ถูกเกณฑ์ไปช่วยงานในวันหยุด หรือบ้านพักครูที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ปลอดภัย
#วัฒนธรรมองค์กร
ครูหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ยอมรับว่า วัฒนธรรมองค์กรนั้นมีผลต่อจิตใจและทิศทางในการทำงานของพวกเขามาก เช่น โดนผู้บริหารสั่งให้ทำงานส่วนตัว ต้องคอยเสิร์ฟอาหารให้ หรือแม้กระทั่งเชิญมาขึ้นหน้าเสาธง ครูคนหนึ่งบอกเราว่า “ผู้บริหารมองว่าครูรุ่นใหม่ก็อดทนไปสิ สมัยเขาเป็นครูยังทนได้ แต่แทนที่เขาจะเข้าใจว่าเขาเคยลำบากมาก่อน คนรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ควรจะมาโดนแบบเขาอะไรแบบที่เขาโดน แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้น”
อีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือ ‘อำนาจนิยมในโรงเรียน’ โดยครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล จากกลุ่มครูขอสอน เคยให้สัมภาษณ์ว่าด้วยกลไกทั้งโครงสร้างระบบราชการและวัฒนธรรมในระบบราชการ และวัฒนธรรมไทย มันอาจจะสร้างผู้คน ไม่ว่าจะผู้บริหาร หรือครู หรือเป็นใครก็ตามที่มีลักษณะของอำนาจนิยมให้เห็นในสังคม
ครูทิวอธิบายว่า หากอธิบายตามหลักการแล้วมันเป็นความเคยชิน การปลูกฝังมันหล่อหลอม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งชนชั้นในโรงเรียนหรือในสังคม ซึ่งมันก็เกี่ยวโยงกับตำแหน่งด้วย ทำให้พวกเขาต้องกอดรัดหรือหวงแหนสถานภาพนั้นไว้ เมื่อมีใครก็ตามมาตีตัวเสมอหรือเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ มันเลยทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะหากเสียสิ่งที่เรียกว่าเป็นเหมือน ‘เปลือก’ นี้ไป เขาอาจจะไม่เหลืออะไรเลย
#อำนาจกระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง
ขณะที่อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ อยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้โรงเรียนไม่ได้มีอำนาจและโอกาสในการเลือก และจัดการได้อย่างเหมาะสมตามบริบทของโรงเรียน ถ้าหากโรงเรียนไหนที่มีเด็กเข้ามาเรียนน้อย ส่วนกลางก็อาจจะจัดสรรทรัพยากรมาให้น้อยตาม ขณะที่โรงเรียนที่มีขนาดเล็ก ก็ยังต้องทำตามนโยบายส่วนกลางที่ไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ มากพอ นั่นกลายเป็นว่า ภาระงานที่ครูจะต้องแบกรับอาจจะหนักขึ้นกว่าปกติ เช่น ต้องดูแลเด็กๆ ในห้องมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการกำหนดนโยบายโดยส่วนกลางและกระจายลงมายังท้องถิ่น เช่น อำนาจในการเปิดสอบ เปิดคัดเลือก หรือบรรจุครูด้วยตัวเอง จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องในปัจจุบันของกลุ่มครู ที่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจจากกระทรวงฯ สู่โรงเรียนเพื่อให้จัดการตัวเองและแก้ปัญหาครู-นักเรียนอย่างเหมาะสม
อ้างอิงจาก