เมื่อ 30 กันยายน ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาว่า ครูใหญ่–อรรถพล บัวพัฒน์ มีความผิดตามมาตรา 112 จากการปราศรัยในการชุมนุมทางการเมืองแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 โดยศาลสั่งจำคุก 3 ปี นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ ต่อจากโทษจำคุกในคดีของศาลจังหวัดภูเขียว
การชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ ปี 2563 อรรถพลเข้าร่วมการปราศรัยในวันดังกล่าว โดยเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน พร้อมกล่าวถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รวมไปถึงการเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งใจความสำคัญของการสืบพยานคดีนี้ คือการตีความคำว่า ‘ราชประหาร’ รวมไปถึงข้อความปราศรัยส่วนอื่นๆ ของจำเลย โดยเฉพาะการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งเกี่ยวกับอำนาจของกษัตริย์กับการปกครองศาสนา และการตีความว่า ‘เผ่ามังกรฟ้า’ ชื่อกลุ่มตัวละครจากวันพีช (One Piece) ว่าจำเลยเจตนาจะดูหมิ่นกษัตริย์ ตามมาตรา 112
อรรถพลยืนยันว่า คำว่าราชประหาร หมายถึง การให้พระราชาประหารผู้ทำรัฐประหาร และยืนยันว่าการปราศรัยมุ่งวิพากษ์วิจารณ์ ‘รัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ’ ที่กระทำการอันกระทบต่อพระมหากษัตริย์
ทั้งนี้ ศาลฯ พิจารณาและอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 4 ใจความหลักดังนี้
“ประชาชนจะลุกขึ้นมาทำรัฐประหาร และหากไกลไปกว่านั้น ก็อาจจะไม่ใช่แค่รัฐประหาร แต่เราอาจจะราชประหารก็ได้” เมื่อพิจารณาคำว่า ‘ราชประหาร’ ที่ปรากฏในคำปราศรัยดังกล่าว หากยึดตามคำว่า ‘รัฐประหาร’ ซึ่งมีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยฉับพลัน เมื่อประกอบกับการแปลคำว่า ‘ราช’ ซึ่งหมายถึง พระราชา กษัตริย์ และแปลคำว่า ‘ประหาร’ ซึ่งหมายถึง การฆ่า การทำลาย ฉะนั้นแล้วคำว่า ‘ราชประหาร’ เมื่อประกอบกับบริบทการปราศรัยของจำเลยที่ปราศรัยกับประชาชน จึงแปลความหมายได้ว่าคือ “การที่ประชาชนจะใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงกษัตริย์”
ขณะที่คำว่า ‘เผ่ามังกรฟ้า’ แม้จำเลยจะบอกว่าเป็นการกล่าวถึงตัวละครในการ์ตูน แต่เมื่อพิจารณาบริบทการปราศรัยเห็นว่า เป็นการพูดถึงเพื่อพาดพิงกษัตริย์ และในคลิปวิดีโอการปราศรัยของจำเลย เมื่อพูดถึงเผ่ามังกรฟ้า จำเลยมีการชูนิ้วขึ้นฟ้าเพื่อสื่อให้ประชาชนที่มาฟังเข้าใจว่าตนมีเจตนาจะสื่อถึงสิ่งใด
เมื่อนำความหมายของคำว่า ‘ราชประหาร’ และ ‘เผ่ามังกรฟ้า” ที่จำเลยปราศรัยมาประกอบกัน จึงแสดงให้เห็นว่า จำเลยจึงมีเจตนาจะเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนเนื้อหาการปราศรัยของจำเลยที่ว่า “การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ท่านพระราชาคณะ และกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตกลงนี่สถาบันพระมหากษัตริย์ปกครองศาสนาใช่ไหม ตีตัวเสมอพระพุทธเจ้า ให้พระสงฆ์ปกครองกันด้วยพระธรรมวินัย ให้ปกครองกันด้วยศีล ให้ปกครองโดยธรรม ไม่ใช่ปกครองโดยกษัตริย์ แต่รัฐไทยเอากษัตริย์ไปปกครองพระ…” ซึ่งกล่าวว่าการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งสมณศักดิ์ การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม จะเป็นการทำให้กษัตริย์ตีตัวเสมอพระพุทธเจ้า เป็นการกล่าวถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และแม้ข้อความดังกล่าวจะไม่เป็นการดูหมิ่น แต่ผู้ใดที่ฟังอาจเกิดความเกลียดชังต่อกษัตริย์ได้ จึงต้องถือว่าเข้าข่ายดูหมิ่น
ในส่วนที่จำเลยปราศรัยว่า “มันอยู่ยากนักหรือไง อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเนี่ย ชาวบ้านชาวเมืองเขาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญกันทุกคน มันอยู่ยากไหมพี่น้อง ถ้ามันอยู่ยาก มาๆ มาๆ มาปรึกษากู เดี๋ยวเลกเชอร์ให้ว่าอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทำยังไง…” การที่จำเลยกล่าวว่า จะเลกเชอร์เรื่องกษัตริย์จะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรนั้น เห็นว่า ไม่มีหลักฐานใดว่ากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังระบุชัดเจนว่า กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ศาลฯ กล่าวสรุปว่า “การที่จำเลยเบิกความว่า การปราศรัยของตนเจตนาสื่อถึงรัฐสภาและรัฐบาลนั้นฟังไม่ขึ้น จำเลยจบการศึกษาด้านภาษาไทย ประกอบอาชีพเป็นติวเตอร์ภาษาไทย จำเลยย่อมมีทักษะในการใช้ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี หากจำเลยจะเจตนาสื่อถึงผู้ออกกฎหมาย ก็น่าจะใช้ถ้อยคำที่มีการใช้ภาษาอย่างชัดเจนสื่อความหมายได้มากกว่านี้”
ด้วยเหตุนี้ ศาลอาญาฯ พิพากษาจำคุกอรรถพลเป็นเวลา 3 ปี เพราะเห็นว่าคำว่า ‘ราชประหาร’ และ ‘เผ่ามังกรฟ้า’ สื่อถึงเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง การอ้างว่ากล่าวถึงรัฐสภาและรัฐบาลนั้นฟังไม่ขึ้น
นอกเหนือจากเคสอรรถพล อีกคนที่ถูกตัดสินจำคุกในเวลาไล่เลี่ยกันและในคดีเดียวกัน ได้แก่ ไผ่–จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เขาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 12 เดือน ส่วนอรรถพล ได้รับโทษจำคุก 2 ปี จากการปราศรัยประเด็นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียว และ สภ.ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษกรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน
อย่างไรก็ดี จตุภัทร์โต้แย้งคำพิพากษาว่า เจตนากล่าวถึง ‘สถาบันกษัตริย์’ ไม่ระบุถึงบุคคลใด จึงไม่อาจตีความมาตรา 112 ในลักษณะขยายความ และทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 112 ได้
ขณะที่อรรถพลอุทธรณ์ว่า การปราศรัยที่หน้า สภ.ภูเขียว เป็นการใช้เสรีภาพแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญ วิจารณ์การออกกฎหมายที่กระทบสถาบันกษัตริย์ด้วยเจตนาห่วงใย ไม่ได้กล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์
ทว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ชี้ การหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์ย่อมกระทบถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แม้คำปราศรัยไม่เอ่ยถึงกษัตริย์องค์ใด แต่จำเลยเกิดในรัชกาลที่ 9 และอยู่ในรัชกาลที่ 10 จึงเชื่อว่าเจตนาสื่อถึง ร.9 และ ร.10
“ด้วยเหตุนี้การที่กฎหมายมิได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์จะต้องครองราชย์อยู่เท่านั้น ผู้กระทําจึงจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้จะกระทําต่ออดีตพระมหากษัตริย์ซึ่งสวรรคตไปแล้วก็ยังเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว การหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ก็ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ยังทรงครองราชย์อยู่…หากตีความว่าพระมหากษัตริย์ต้องเป็นองค์ปัจจุบันที่ยังทรงครองราชย์อยู่ก็จะเป็นช่องทางให้เกิดการละเมิด หมิ่นประมาท ให้กระทบต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันได้” องค์คณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ระบุ
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตทางกฎหมายว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนี้เป็นอีกคดีที่มีการตีความมาตรา 112 ขยายการคุ้มครองไปถึงอดีตกษัตริย์ โดยก่อนหน้านี้คดีที่ศาลพิพากษาในลักษณะนี้ ได้แก่ คดีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กและติ๊กต็อกของ ‘ไวรัส’, คดีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของ ‘พอร์ท ไฟเย็น’ นอกจากนี้ยังตีความขยายไปด้วยว่า สถาบันกษัตริย์ หมายรวมถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วย คดีที่มีการตีความในลักษณะนี้ เช่น คดีโพสต์รูปและข้อความของทิวากร และคดีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของพิมชนก
“การตีความมาตรา 112 ในลักษณะขยายความเช่นนี้ ขัดต่อหลักกฎหมายอาญาซึ่งต้องตีความอย่างเคร่งครัด เนื่องจากกฎหมายอาญามีบทลงโทษที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน” ศูนย์ทนายความฯ กล่าว
อ้างอิงจาก