ข่าวการฆ่าตัวตายในหมู่เด็ก และวัยรุ่น เกิดขึ้นบ่อย และถี่มากขึ้น จนน่าเป็นห่วง ซึ่งไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่จากการศึกษาล่าสุด ยังพบว่า เด็กและวัยรุ่นในอเมริกาเอง ก็มีความพยายามฆ่าตัวตายมากขึ้นเป็นสองเท่า ใน 9 ปี เลยด้วย
จำนวนเด็กและวัยรุ่น ในสหรัฐฯ ที่เข้าห้องฉุกเฉินเพราะพยายามฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในระยะเวลา 9 ปี คือจากจำนวน 580,000 คน ในปี 2007 เพิ่มเป็น 1.12 ล้านคนในปี 2015 ซึ่งจากการศึกษายังพบว่า อายุเฉลี่ยของเด็กกลุ่มนี้อยู่ที่ 13 ปี และ 43% คือเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี ทั้งสัดส่วนของเด็กและวัยรุ่น ที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะมีพฤติกรรมการฆ่าตัวตายยังเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 3.5% ด้วย
นักวิจัยได้เปิดเผยข้อมูลนี้ จากหน่วยงานการสำรวจการดูแลผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลแห่งชาติ ซึ่งติดตามผลของเด็กอายุ 5-18 ปี ตามห้องฉุกเฉิน 300 แห่ง และได้ตีพิมพ์ลงวารสารกุมารเวชศาสตร์ JAMA ซึ่ง Lisa Horowitz นักจิตวิทยากุมารแพทย์แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ กล่าวถึงการศึกษานี้ว่า เป็นสถิติที่น่าตกใจ และน่ากลัวมาก
ด็อกเตอร์ Brett Burstein ผู้นำการศึกษา และแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินสำหรับเด็กที่โรงพยาบาลเด็กมอนทรีออล กล่าวถึงปัจจัยที่ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมฆ่าตัวตายในเด็กที่สูงขึ้นว่า อาจเกิดจากความเครียดและแรงกดดันต่อเด็กๆ ที่มากขึ้น “เด็กๆ รู้สึกกดดันมากขึ้น ที่จะต้องประสบความสำเร็จในโรงเรียนและเป็นห่วงเรื่องการหาเลี้ยงชีพมากกว่าแต่ก่อน” ทั้งพ่อแม่และผู้ปกครองเองต่างก็มีความเครียดมากขึ้น ทำให้ความเครียดถูกส่งผ่านไปยังเด็กและวัยรุ่นด้วย
ในขณะที่ Burstein มองว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นปัจจัย คือการเพิ่มขึ้นของโซเชียลมีเดีย และ Cyberbully ที่มาพร้อมๆ กัน ทั้งยังมีสถิติว่าเด็กกว่า 59% ในสหรัฐฯ อาจะเผชิญกับปัญหา Cyberbully ด้วย ทั้งผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าการถูก Cyberbully เป็นเรื่องที่ยากลำบากของเด็ก เพราะมันไม่เหมือนการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน แต่ผลของมันเกินขอบเขตมากกว่าที่ใครจะรู้ได้
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER