เดือนกรกฎาคมนี้ โปรเจ็กต์ทำลอนดอนให้กลายเป็นเมืองอุทยานแห่งชาติ จะเริ่มต้นกิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับเป้าหมายสำคัญ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองให้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
โปรเจ็กต์นี้มีชื่อว่า #NationalParkCity โดยเริ่มต้นจากมูลนิธิอุทยานแห่งชาติของอังกฤษ ที่ต้องการเปลี่ยนความเชื่อใหม่ๆ ให้กับการพัฒนาเมืองว่า พื้นที่สีเขียวหรือแหล่งที่เป็นธรรมชาตินั้น คือ ‘สิ่งที่ต้องมี’ ไม่ใช่แค่ ‘แค่มีก็ดี’ (need to have not nice to have)
Daniel Raven-Ellison ผู้ผลักดันโปรเจ็กต์นี้ ยืนยันว่า เราไม่สามารถลอนดอนว่าเป็นแค่เมือบแบบหยาบๆ ที่มีเฉพาะมนุษย์ได้เลย เพราะลอนดอนยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กว่า 15,000 สายพันธุ์
“การที่ลอนดอนจะกลายเป็นเมืองอุทยานแห่งชาติ มันคือวิธีที่เพอร์เฟ็กต์ที่จะเฉลิมฉลองต่อทุกๆ อย่าง ที่ทำให้เมืองหลวงนี้มีความหลากหลายและเป็นมิตต่อธรรมชาติ” Raven-Ellison ระบุ
เอาเข้าจริง แต่เดิมทีลอนดอนมีพื้นที่สีเขียวในเมืองอยู่ 47 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยปัจจัยที่ประชากรดูเหมือนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าลอนดอนจะมีประชากรเพิ่มขึ้นแตะระดับ 11 ล้านคนในปี 2040 มันจึงเป็นความเสี่ยงว่าพื้นที่อยู่อาศัยของประชากร จะเข้าไปกินพื้นที่สีเขียวจนทำให้มันลดลงไปจากนี้ เช่นเดียวกับ พื้นที่ของสัตว์ต่างๆ ที่อาจหายไปด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะสนับสนุนการสร้างพื้นที่สีเขียวให้เมือง เช่นการปลูกสวนบนดาดฟ้า หรือการสร้างสวนสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
ไม่ใช่แค่พื้นที่สีเขียว ที่ต้องรักษาเอาไว้ เพราะโปรเจ็กต์นี้ยังน่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในลอนดอนได้ในหลายๆ มิติ เช่น การต่อสู้กับมลพิษทางอากาศที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรไปกว่า 9,000 คนต่อปี (ตามรายงานการวิจัยของ King’s College London)
.
สุดท้ายแล้ว การเพิ่มพื้นที่สีเขียว จึงไม่น่าจะใช่แค่ช่วยเหลือธรรมชาติ หากแต่มันก็คือการช่วยเหลือชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆ ควบคู่กันไปด้วยนั่นเอง
อ้างอิงจาก
https://www.weforum.org/agenda/2019/05/london-is-becoming-the-world-s-first-national-park-city/
https://edition.cnn.com/2018/11/28/world/london-national-park-city/index.html
https://www.lonelyplanet.com/news/2018/02/16/national-park-city-london/
#Brief #TheMATTER