แม้จะเคยปรากฎชื่อเป็นข่าวในสื่ออยู่เป็นระยะ แต่การที่อีลอน มัสก์ เจ้าของ Tesla และ SpaceX ประกาศสนับสนุนผ่านทวิตเตอร์ก็น่าจะทำให้หลายๆ คนสนใจนักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน วัย 44 ปี ที่ชื่อ แอนดรูว์ หยาง (Andrew Yang) มากขึ้น
ว่าแต่เขาเป็นใครมาจากไหน?
หยางเขียนแนะนำตัวเองไว้ในเว็บไซต์ yang2020.com ว่า มีพ่อแม่เป็นผู้อพยพจากไต้หวันช่วงยุคหกศูนย์ เขาเกิดในปี ค.ศ.1975 ที่รัฐนิวยอร์ก พ่อของเขาเป็นนักวิจัยที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ IBM มีผลการทำงานเป็นสิทธิบัตรถึง 69 ใบ ส่วนแม่ของเขาเป็นผู้ดูแลระบบในมหาวิทยาลัยท้องถิ่น นอกจากนี้ เขายังมีน้องชายอีก 1 คน
“ผมไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ ผมเป็นผู้ประกอบการที่เข้าใจในนเศรษฐกิจ และเห็นว่าตอนนี้อเมริกาถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว”
ว้อยซ์ออฟอเมริกา ระบุว่า หยางมีชื่อเสียงในวงการสตาร์ตอัพจากการริเริ่มโครงการ Venture for America ที่ช่วยนักศึกษามหาวิทยาลัยจบใหม่ ให้เริ่มจากธุรกิจไฮเทคของตัวเอง
“ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เพราะเป็นห่วงอนาคตของประเทศนี้ ที่เทคโนโลยี ทั้งหุ่นยนต์ ซอฟต์แวร์ และปัญญาประดิษฐ์ ได้แย่งงานจากคนไปแล้ว 4 ล้านตำแหน่ง และกำลังจะแย่งอีกหลายล้านในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า”
นโยบายหลักของหยางก็คือ การจัดสรรเงินขึ้นพื้นฐานให้ประชาชน (universal basic income – UBI) สำหรับชาวอเมริกันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เดือนละ 1 พันเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3 หมื่นบาท) โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ อาศัยรายได้จากเงินที่ได้จากภาษีตัวใหม่ที่จะเก็บจากบริษัทที่ได้รับผลโยชน์จากระบบอัตโนมัติทั้งหลาย
เขาเรียกนโยบายนี้ว่า Freedom Dividend
อย่างไรก็ตาม กว่าที่หยางจะไปถึงปลายทาง – ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ – ต้องเผชิญกับการแข่งขัน 2 เวทีใหญ่ๆ
1.) การเลือกตั้งภายในพรรคเดโมแครตเพื่อชิงสิทธิการเป็นผู้สมัครในนามพรรค ที่เขาจะมีคู่แข่งอย่างน้อย 23 คน โดยเฉพาะ ‘ตัวเก็ง’ หลายๆ คน อย่าง โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เบอร์นี่ แซนเดอร์ส ส.ว.รัฐเวอร์มอนต์, เอลิซาเบธ วอร์เรน ส.ว.รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นต้น ซึ่งผลการทำโพลเบื้องต้น หยางยังตามคู่แข่งรายอื่นๆ อย่างไม่เห็นฝุ่น
2.) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องชนกับคู่แข่งแชมป์เก่าอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน
โดยการเลือกตั้งภายในพรรคเดโมแครตจะจัดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายนของปี ค.ศ.2020 ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
แม้ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะค่อนข้างซับซ้อนชวนงงและยังมีจุดอ่อนอยู่ แต่หนึ่งในข้อดีของมันก็คือ การบังคับให้ผู้อยากมีอำนาจต้องเสนอตัวขึ้นมาเอง พร้อมแสดงวิสัยทัศน์กับประชาชน เพื่อที่ผู้คนจะใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกคนๆ นี้มาเป็นผู้นำประเทศหรือไม่
อ้างอิงจาก
https://www.blognone.com/node/111302
https://www.voathai.com/a/asian-american-presidential-debate/4864157.html
https://themomentum.co/who-is-who-befroe-2020-us-presidential-election/
#Brief #TheMATTER