ยิ่งเข้าใกล้ ‘วันเลือกตั้ง’ การเมืองสหรัฐฯ ก็เข้มข้นขึ้นทุกวัน โดยในวันนี้ (10 กันยายน 2024) ได้มีการประชันวิสัยทัศน์กันระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการเผชิญหน้ากันของทั้งคู่ และนับเป็นครั้งที่ 2 แล้วในปีนี้ โดยครั้งแรกเป็นการประชันกันระหว่างทรัมป์กับ โจ ไบเดน ที่สุดท้ายถอนตัวออกจากการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีไปในที่สุด
ความสำคัญของการดีเบตในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ได้เห็นวิสัยทัศน์ของ 2 แคนดิเดตแต่เพียงเท่านั้น แต่ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ ‘โลก’ อย่างแน่นอน The MATTER สรุปการดีเบตครั้งนี้ สำหรับใครที่ไม่ทันได้ติดตาม
การดีเบตครั้งนี้ทั้ง 2 แคนดิเดตจะต้องยืนอยู่หลังโพเดียมตลอดเวลาและไมค์จะถูกปิดขณะที่อีกคนกำลังพูด และไม่อนุญาตให้นำสไลด์หรือบันทึกที่เขียนมาล่วงหน้าขึ้นเวที ซึ่งทั้งคู่จะได้รับแค่น้ำดื่ม กระดาษโน้ต และปากกา
เศรษฐกิจ
แฮร์ริสเริ่มพูดก่อนโดยการหยิบเรื่องครอบครัวชนชั้นกลางของเธอขึ้นมาพูด และอธิบายว่าเธอต้องการสร้างเศรษฐกิจแบบโอกาส (Opportunity economy) และปล่อยหมัดแรกโดยการบอกว่า ทรัมป์ช่วยเหลือแต่คนรวยและเรียกเก็บ ‘ภาษีการค้าแบบทรัมป์ — Trump sales tax’ จากชนชั้นกลาง
** ‘ภาษีการค้า’ ที่แฮร์ริสพูดถึงคือแผนของทรัมป์ที่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีน
ทั้งสองโต้เถียงกันในเรื่องเศรษฐกิจ ข้อเสนอต่างๆ และพูดถึงผลกระทบของภาษี รวมถึงการจัดการกับการระบาดใหญ่ของโรค ในปีสุดท้ายที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง
ทรัมป์บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีที่สุดภายใต้การบริหารงานของเขา ขณะที่แฮร์ริสบอกว่าทรัมป์ ทำให้สหรัฐฯ มีอัตราว่างงานสูงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อัตราว่างงานพุ่งสู่ระดับที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งคือช่วงหลังการแพร่ระบาด และอัตราว่างงานก็ ‘ลดลง’ เมื่อทรัมป์พ้นจากตำแหน่ง
นโยบายทำแท้ง
ทรัมป์ถูกกดดันโดยผู้ดำเนินรายการให้อธิบายนโยบายของเขาเกี่ยวกับการทำแท้ง เนื่องจากมุมมองของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทรัมป์อธิบายวิธีการจัดการในแต่ละรัฐ และบอกว่า “บางรัฐ ทารกจะถูกฆ่าหลังจากคลอดออกมา”
ขณะที่แฮร์ริสบอกว่า “ทรัมป์ไม่ควรบอกผู้หญิงว่าควรทำอะไรกับร่างกายของเธอ” เธออธิบายต่อว่า ตอนนี้กว่า 20 รัฐในสหรัฐฯ ที่ห้ามทำแท้ง (จากนโยบายของทรัมป์) ทำให้แพทย์และพยาบาลเป็นอาชญากร ซึ่งในบางรัฐมีโทษจำคุกตลอดชีวิต ในขณะที่การข่มขืนก็เช่นกัน ผู้ที่โดนล่วงละเมิดไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับร่างกายของตัวเอง
จากนั้นทั้ง 2 ก็โต้เถียงกันเรื่องการสนับสนุนการทำแท้ง
“เธอจะอนุญาตให้ทำแท้งใน(อายุครรภ์)เดือนที่ 8 เดือนที่ 9 หรือเดือนที่ 7 ไหม?” ทรัมป์ตั้งคำถามต่อแฮร์ริส ซึ่งทำให้แฮร์ริสพูดออกมาว่า “ขอล่ะ” ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย
ผู้อพยพ
ทรัมป์บอกว่าผู้อพยพ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของชาวโอไฮโอ
“ในสปริงฟิลด์ พวกเขา(ผู้อพยพ)กินสุนัข กินแมว พวกเขากำลังกินสัตว์เลี้ยงของคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา และมันน่าละอาย” ทรัมป์กล่าว ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาสื่อฝ่ายขวาได้เผยแพร่เรื่องราวของผู้อพยพที่กินสัตว์เลี้ยงเป็นอาหาร
ทว่าหลังจากที่มีการติดต่อกับผู้จัดการเมืองที่โอไฮโอแล้ว พบว่า ‘ไม่มี’ รายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการกินสัตว์เลี้ยงของผู้อพยพ โดยเฉพาะเคสที่สัตว์เลี้ยงได้รับบาดเจ็บ หรือถูกทารุณกรรมโดยชุมชนผู้อพยพ
ลอบสังหาร
ทรัมป์บอกว่าการโจมตี(ด้วยคำพูด)ของแฮร์ริสนั้นนำไปสู่การพยายามลอบสังหาร
แม้ปัจจุบัน FBI จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของเด็กหนุ่มที่เปิดฉากยิงทรัมป์ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งระหว่างการดีเบตทรัมป์ก็บอกว่าแฮร์ริสและสมาชิกพรรคเดโมแครตคนอื่นๆ เรียกเขาว่าเป็น ‘ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย’ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการโจมตีดังกล่าว
“ผมอาจโดนยิงที่หัวเพราะสิ่งที่พวกคุณพูดเกี่ยวกับผม พวกเขาพูดถึงประชาธิปไตยผมเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย พวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย” ทรัมป์กล่าว
สถานการณ์ในฉนวนกาซา
แฮร์ริสหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถามที่ว่า เธอจะแก้ปัญหาความขัดแย้งให้หยุดยิงในฉนวนกาซาได้อย่างไร โดยเปลี่ยนไปสู่ประเด็นนโยบายต่างประเทศที่จะโน้มน้าวให้อิสราเอลและฮามาสทำข้อตกลงหยุดยิง
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ตอบคำถามนั้นอย่างชัดเจน แต่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องอิสราเอล ขณะที่ก็ยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนระหว่างการรุกรานในฉนวนกาซาโดยอิสราเอล
“หนทางที่จะยุติลงได้ก็คือ เราต้องการข้อตกลงหยุดยิง โดยต้องเข้าใจว่าเราต้องกำหนดแนวทางสำหรับการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ และในการแก้ปัญหานั้นจะต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนอิสราเอล และชาวปาเลสไตน์ต้องได้รับมาตรการที่เท่าเทียมกัน”เธอกล่าว พร้อมเสริมว่า “อิสราเอลมีความสามารถในการป้องกันตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับอิหร่าน และภัยคุกคามใดๆ ที่อิหร่านและกลุ่มตัวแทนก่อขึ้นต่ออิสราเอล”
เชื้อชาติ
แฮร์ริสบอกว่าทรัมป์ใช้ ‘เชื้อชาติเพื่อแบ่งแยกคนอเมริกัน’ หลังจากที่แฮร์ริสเริ่มแคมเปญหาเสียงทรัมป์พูดบางอย่างที่น่าตกใจอย่างเช่น เธอคือรองประธานาธิบดีซึ่งมีเชื้อสายเอเชียใต้และผิวดำจากจาเมกา ไม่ใช่คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
ซึ่งทรัมป์บอกบนเวทีดีเบตเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นและเขาไม่สนใจ เขาไม่สนว่าเธอจะเป็นอะไร และไม่ว่าเธอจะอยากให้เขาเป็นอะไรก็ไม่เป็นไร
“พูดตามตรง ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เรามีคนที่อยากจะเป็นประธานาธิบดี แต่ตลอดอาชีพการทำงานของเขา เขาใช้เชื้อชาติเพื่อแบ่งแยกคนอเมริกัน” เธอกล่าว
ในช่วงท้ายของการดีเบต
แฮร์ริสเริ่มพูดปิดท้ายด้วยการให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของชาวอเมริกัน ด้วยประสบการณ์ในฐานะอัยการของเธอจะทำให้เธอเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศ
“ฉันจะเป็นประธานาธิบดีที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของเรา รวมถึงสิทธิของผู้หญิงที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของเธอเอง และไม่ต้องให้รัฐบาลมาบอกว่าเธอต้องทำอย่างไร ฉันเคยเป็นอัยการสูงสุด เคยเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐ และตอนนี้เป็นรองประธานาธิบดี ฉันจะรับใช้เพียงสิ่งเดียว นั่นคือ ประชาชน” แฮร์ริสกล่าว
ขณะที่ทรัมป์พูดปิดท้ายการดีเบตด้วยคำว่า ‘แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำ’ และหยิบยกช่วงเวลาที่แฮร์ริสดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีมาหลายปีขึ้นมาโต้ว่าเธอเป็นผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรียกแฮร์ริสในตอนท้ายว่าเป็น “รองประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา”
การดีเบตในครั้งนี้ จะสร้างความแตกต่างอะไรให้ตัวแคนดิเดตได้บ้าง?
การดีเบตในอดีต เคยถูกตั้งคำถามว่าไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการเลือกตั้งมากนัก เว้นแต่การดีเบตของไบเดน และทรัมป์ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก เพราะมันได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่พรรคเดโมเครตได้ชัยชนะไป
ทว่าผู้อำนวยการฝ่ายดีเบตของมหาวิทยาลัยมิชิแกน บอกว่า การดีเบตในครั้งนี้น่าสนใจอย่างมาก และด้วยความสนใจของผู้คนจะนำไปสู่โอกาสที่จะดึงดูดผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งมากขึ้น
สิ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนในการดีเบตครั้งนี้คือ ทรัมป์ยังคงเน้นย้ำจุดยืนที่เขาใช้มาโดยตลอด ซึ่งมันรวมถึงข้อมูลที่ผิดพลาดในบางส่วนเช่นเรื่องผู้อพยพ การทำแท้ง และสงคราม
ขณะที่แฮร์ริสเองก็ทำให้ทรัมป์สับสนได้ในหลายช่วง แม้ว่าผู้สมัครทั้ง 2 จะเงียบขณะที่อีกคนกำลังพูดแต่แฮร์ริสก็ใช้ภาษากายของเธอในการสื่อสารด้วยท่าทีหลายๆ อย่าง เช่น การทำหน้าสงสัย แสดงความกังวล และแสดงการปฏิเสธ
กว่า 90 นาทีบนเวทีดีเบตนี้ เป็นเหมือนบททดสอบของทั้งคู่ ระหว่างแฮร์ริสที่อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักดีเท่ากับทรัมป์ แต่เวทีนี้อาจทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้ผ่านตัวตนและวิสัยทัศน์ของเธอ ในขณะที่ทรัมป์เองอาจได้คะแนนเสียง และความนิยมเพิ่มจากทัศนคติที่เขาแสดงต่อผู้ชมทั่วโลก