หลายปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนได้ถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลัง ทั้งประเด็นท่าทีการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์แถบประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเรื่องใหญ่ที่อยู่ในสายตานานาชาติ อย่างการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน
เรื่องเหล่านี้ ได้นำไปสู่คำถามถึงนโยบายความสัมพันธ์ที่ไทยเรามีต่อจีนว่า ‘เอนเอียงเกินไปหรือไม่’ เพราะอาจนำไปสู่ผลกระทบระยะยาวให้กับประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ The MATTER คุยกับ อ.ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

cr.thaigov.go.th
มองจีนในฐานะมหาอำนาจของภูมิภาคเอเชีย
อ.ฟูอาดี้ เริ่มต้นกล่าวว่า จีนในยุคของโลกปัจจุบัน มีอำนาจและมีอิทธิพลต่อภูมิภาคเอเชียค่อนข้างสูง และที่ผ่านมาก็มีหลายๆ อย่างที่ทำให้จีนมาถึงจุดนี้ได้
เขามองว่า หากมองในทางทฤษฏีสัจนิยมแล้ว เราจึงปฏิเสธความเป็นมหาอำนาจนี้ไม่ได้ พร้อมกันนั้นจีนมีความมั่นใจที่แข็งกร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะหลัง วิกฤตการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (hamburger crisis) ประมาณปี 2007 และ 2008 ที่ทำให้จีนรู้สึกว่าตัวเองมีความกระตือรือร้น และมีอิทธิพลในการดำเนินการนโยบายต่างประเทศ ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น มีการแผ่อำนาจอย่างจับต้องได้มากที่สุด
อิทธิพลที่ค่อนข้างรุนแรงของจีน ยังเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนของการเมืองสหรัฐฯ ในตอนนี้ เช่นนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่เพิ่มภาษีนำเข้ากับประเทศที่เป็นพันธมิตร
“ในสถานการณ์แบบนี้ เราจะอยู่อย่างไร แล้วเราจะทำออกมาได้ดีอย่างไร แต่คำถามมันอยู่ที่ว่าเราต้องทำถึงขนาดนี้ไหม ในข้อมูลที่มันออกมา ในภาพที่มันออกมา มันส่อให้เห็นว่าเราเอียงข้างไปทางจีน”
นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระบุว่า ในมุมของเขาแล้ว นโยบายต่างประเทศ อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่อง perception เป็นเรื่องว่าเขามองเราอย่างไร เป็นเรื่องเชิงความคิด ความจริงมันอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ เพราะผู้นำของเราก็อาจจะไม่ได้สนิทใจขนาดนั้นกับสิ่งที่จีนทำ
“แต่ว่าภาพที่มันออกมาต้องย้อนกลับไปก่อนว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องการส่งอุยกูร์กลับไป การบินไปตรวจสอบ หรือว่าเรื่องหลังๆ ที่มันออกมา ก่อนหน้านั้นมีเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่การกระทำและความร่วมมือของเรากับจีน ดูเหมือนว่าเราจะสูญเสียอำนาจในการต่อรอง”
ภาพลักษณ์เอนเอียงไปทางจีนของไทย กระทบอะไรบ้าง?
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ชาวอุยกูร์ 48 คน ที่อยู่ในห้องกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ถูกนำตัวส่งไปยังประเทศจีนโดยทางการไทย จนเกิดข้อกังขาขึ้นในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจีน cr.Chinese Embassy Bangkok
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมด้วยคณะ เดินทางถึงไปยังเมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเยี่ยมเยือนกลุ่มบุคคลที่ส่งกลับของจีน โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ 40 กว่าคน ที่ถูกส่งตัวกลับ
“มีบางประเทศติฉินนินทาความร่วมมือ ระหว่างไทยและจีน ทั้งที่บังคับใช้กฎหมายปกติ โดยบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีที่ทั้ง 2 ประเทศดำเนินการอย่างเข้มข้น สำหรับคนที่เข้าประเทศที่ 3 ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเราต้องทำหน้าที่นี้ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และต้องขอความร่วมมือทั้ง 2 ประเทศดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน” ภูมิธรรม กล่าว
อ.ฟูอาดี้ ตั้งคำถามกับประเด็นข้างต้นว่า ไทยเราทำตามที่จีนร้องขอมากไปไหม เพราะภาพที่มันออกมา มันออกมาในลักษณะนั้น และก่อนหน้าเราก็ประกาศอย่างภูมิใจก่อนที่ทรัมป์จะขึ้นเข้าสู่อำนาจว่า เรามีความพยายามที่จะเข้าร่วมกลุ่มบริกส์ (BRICS -กลุ่มที่มีสมาชิกที่เป็นชาติมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซีย) รวมทั้งอีกหลายประเทศที่ทรงอิทธิพลในแต่ละทวีป เช่น แอฟริกาใต้และบราซิล หากพิจารณาในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์ มีมูลค่ากว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 28% ของมูลค่ารวมของเศรษฐกิจโลก
อาจารย์ระบุต่อ ซึ่งในที่สุดแล้วอาจกลายมาเป็นจุดหนึ่ง ที่ทำให้ทรัมป์รู้สึกไม่พอใจกับพันธมิตรของไทย ที่ถือเป็นพันธมิตรอันเก่าแก่ อันดับต้นๆ ของอเมริกา
ดังนั้นคำถามที่ตามมาคือ ในสถานการณ์ที่มันเป็นนี้ เราทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม เราต้องทำถึงขนาดนี้ไหม เนื่องจากมีอีกหลายประเทศที่ทำได้ดีกว่าเรา เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
“สิงคโปร์ยึดหลักการค่อนข้างแน่วแน่ว่า ‘ประเทศที่ใหญ่กว่าไม่ควรรุกรานประเทศที่เล็กกว่า’”
การที่รัสเซียรุกรานยูเครน สิงคโปร์ก็ออกมาตอบโต้อย่างชัดเจน หรือเวียดนามที่มีเศรษฐกิจเติบโต 6 เปอร์เซ็นต์ กว่าๆ ต่อปี ทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูง หมายความว่า ทุกคนก็อยากคุยกับเขา อยากเอาเงินมาลงทุน อยากจะผูกสัมพันธ์ไว้ มองข้ามค่านิยมหลายๆ อย่างออกไปด้วยซ้ำ เพื่อ engage กับเวียดนาม
“ที่ผ่านมาเราจะโดนกล่าวหาเสมอว่า กำลังต่อยต่ำกว่าเข็มขัด (punching below our weight) ที่ส่งผลให้อำนาจในการต่อรองของเราในระบอบโลก และการต่างประเทศลดลงอย่างค่อนข้างชัดเจน
อำนาจในการต่อรองเกิดขึ้นจากการที่เราได้รับการเคารพจากนานาประเทศ แต่ในตอนนี้เราเลือกที่จะมีความสัมพันธ์แนบชิดกับจีน เราสูญเสียพันธมิตร สูญเสียการถูกเคารพจากประเทศอื่นๆ ไป ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ ทั้งประเทศต่างๆ ยุโรป อังกฤษ รวมถึงอเมริกา
การที่ไทยเลือกเอนเอียงไปทางด้านจีน เหมือนกับรอวันเลยว่า จะมีผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งแสดงออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้ว เช่น ประเด็น visa sanction ดังนั้นในทาง ภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) เราจำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ ไหม การทำภาพให้เหมือนว่า ‘เราเลือกข้าง’
มีหลักการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเอนเอียงฝ่ายไหน
อ.ฟูอาดี้ กล่าวว่า การที่ไทยไม่ยึดหลักการพื้นฐาน ทั้งหลักสิทธิมนุษยชน หลักมนุษยธรรม การไม่ให้ความเชื่อมั่นกับนานาประเทศ ว่าเราเป็นประเทศหนึ่งที่เคารพเรื่องนี้ ส่งผลให้เราสูญเสียอำนาจการต่อรอง ทั้งที่ขณะนี้ เราเป็นหนึ่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC)
เขาระบุด้วยว่า ทำไมไทยเราถึงฟังประเทศที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นคู่กรณีในประเด็นนี้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำไมถึงไม่คำนึงถึงสิ่งที่ประเทศซึ่งเป็นพันธมิตรของเรา ได้รับคำเตือนมา ทำไมไม่ฟังองค์การระหว่างประเทศ (UN) ทำไมไม่ฟังภาคประชาสังคม (NGO) และการที่ไทยยืนหยัดว่าชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับไปจะปลอดภัย ทั้งที่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เป็นเช่นนั้น ก็น่าจะคำนึงถึงว่า หากมีโอกาสที่จะไม่ปลอดภัย เราก็ไม่ควรส่งแล้ว เพราะเรามี พ.ร.บ.อุ้มหายฯ และยังเป็นภาคีระหว่างประเทศอย่างน้อย 2 ฉบับ
“อยากเห็นประเทศไทยไม่เคารพหลักการ ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างนี้หรือ ซึ่งมันสร้างผลกระทบต่อพวกเราทุกคน”
แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทั้งหมดนั้นสมัครใจกลับไปประเทศจีน แต่ อ.ฟูอาดี้ มองว่า สิ่งนี้ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย แม้ว่าตอนนี้จะมีชาวอุยกูร์ 2-3 คนที่ออกมาพูดว่าใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่หลายฝ่ายต่างตั้งคำถามว่าเป็นการจัดฉากหรือเปล่า และคนอื่นๆ ที่เหลือคิดอย่างนี้เหมือนกันหรือไหม
การสื่อสารที่รัฐบาลไทยเราพยายามทำอยู่ มันเกิดการตั้งคำถามมากกว่าเดิม คือไม่ได้เป็นผลบวกในเชิง PR เลย และดูเหมือนว่าพอหลังจากส่งพวกเขากลับไป
“ผมไม่ทราบอย่างแท้จริงว่า รัฐบาลทำไปด้วยเหตุผลอะไร แลกเปลี่ยนอะไรกัน มันเป็น beyond doubt ที่เราไม่สามารถไปล่วงรู้ได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่ net positive และอาจกระทบกับฐานเสียงเพื่อไทยที่บางส่วนอาจหวาดระแวงจีน แต่ในขณะเดียวกัน ประเด็นการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน อาจเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนที่โปรจีน หรือกลุ่มฝ่ายขวาสุดเลยก็ได้
“การโต้ตอบของ อเมริกา ยุโรป ต่อเรื่องนี้ เป็นการส่งข้อความอย่างชัดเจนว่า คุณโน้มเอียงไปทางจีนมากเกินไปแล้วนะ ที่กล่าวในฐานะพันธมิตรที่ดีของคุณมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น” ดังนั้นในสายตาของนักรัฐศาสตร์ จึงเชื่อว่า ไทยควรที่จะเอียงกลับ อย่างน้อยเอียงกลับมาตรงกลางมากขึ้น
“เชื่อว่ารัฐบาลพยายามเจรจาอยู่ แต่หลังจากนี้ก็ต้องแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างว่า ไทยยังให้คุณค่ากับการเป็นพันธมิตรที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีของอเมริกา ในโลกของปัจจุบัน ผมมองว่าเราต้องไว้ใจครึ่งหนึ่ง แล้วก็พร้อมที่จะ engage แต่ว่าต้อง independent มากๆ ต้องเอาตัวเองให้รอด ตอนนี้เราเหมือนถูกช้างเหยียบ แล้วก็ถูกม้าทับอีกที อยู่ตรงกลางระหว่าง conflict ของพวกเขา”
ต้องเปลี่ยนเกม ไม่งั้นอำนาจต่อรองจะยิ่งถดถอย
คำถามต่อมาคือแล้วไทยเราจะเปลี่ยนเกมกลับมาได้ไหม? อ.ฟูอาดี้ ระบุว่า การจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมามีหลายวิธีที่ทำได้
“จริงๆ ไม่อยากให้มองว่าเราต้องเอียงไปประเทศไหนประเทศหนึ่ง อยากให้มองว่าหลักการเราคืออะไร” นักรัฐศาสตร์ ระบุ
“สมมติประเทศไหนที่ทำให้เราหลุดจากหลักการที่ตั้งไว้ หลุดจากผลประโยชน์ของประเทศชาติ เราก็สามารถยืนและบอกเขาตรงๆ ได้ว่า เราไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาทำ แล้วเราไม่สามารถดำเนินการแบบนี้ได้ เพราะว่าหลักการเราเป็นแบบนี้”
เขาเสนอให้ไทยเราทำเหมือนอย่าง สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ที่มีความแข็งแกร่ง มี historical record หมายความว่ามีเหตุการณ์ต่างๆ ที่กลุ่มประเทศเหล่านี้สามารถบอกได้ว่ามีหลักการและยืนหยัดกับอะไรอยู่
“อย่าไปมองว่าต้องเอียงไปอเมริกา หรือว่าเอียงไปทางจีน คือขอให้มีหลักการก่อน แล้วถ้าใครทำให้เราหลุดจากหลักการ เราก็ต้องสามารถพูดโต้ตอบได้”
อ.ฟูอาดี้ ระบุว่า ถ้าไทยเรามีสิ่งนี้ อาจจะทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพราะในฐานะประเทศ middle power สิ่งเดียวที่เราจะยึดมั่นและช่วยเราได้คือ ‘หลักการ’ เนื่องจากประเทศเล็กหลายประเทศ ก็พยายามใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือต่อรอง และการดึงประเทศมหาอำนาจมาพูดคุย
เขาเชื่อว่า คำถามที่สำคัญคือ เราพร้อมแค่ไหนที่จะทิ้งอเมริกาและเอนเอียงไปจีน เขาเปรียบเทียบว่า ไทยตอนนี้เหมือนกำลังจะโดดลงจากรถอเมริกา ไปขึ้นรถกับประเทศจีน “แต่จริงๆ เราสามารถสร้างรถคันใหม่ขึ้นมาที่ให้ทั้งสองประเทศนี้มานั่งได้” อ.ฟูอาดี้ กล่าว
เขาเสนอว่า สิ่งที่เราต้องมีคือใบต่อรองกับทั้งอเมริกาและจีน ต้องมีความเป็นเอกเทศ หรือเรียกว่า เอกเทศทางด้านยุทธศาสตร์ (strategic autonomy) แต่ตอนนี้เรามี สิ่งตรงกันข้าม เรียกว่า ความไม่แน่นอนทางยุทธศาสตร์ (strategic ambiguity)
“ในระดับโลกเราอยากเห็นประเทศไทยยึดหลักการอะไร ถูกมองว่าเป็นอะไร ถูกมองด้วยความกลัว ถูกมองด้วยความเกรงใจในเชิงบวก หรือถูกมองว่าเป็นผู้สร้างความกลัว เนื่องจากเราอาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ”
“ผมมองว่าประชาชนอยากให้ประเทศไทยถูกมองด้วยความเคารพ มีความชอบธรรมทางการเมือง และประชาชนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ มีสิทธิในการเลือกสิ่งต่างๆ”