ลูกชายคนขายฟืน ชนชั้นกลาง ไร้ตำแหน่งทหาร และเป็นแฟนเพลงเฮฟวีเมทัล
นี่คือตัวตนของ ‘โจโก วิโดโด’ หรือ ‘โจโกวี’ ว่าที่ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของอินโดนีเซีย ที่แม้ผลคะแนนอย่างเป็นทางการยังไม่ประกาศออกมา แต่ผลในตอนนี้ ก็ปรากฏว่า โจโกวี มีคะแนนนำ เฉือดเฉือนคู่แข่งเดิมอย่าง ปราโบโว ซูเบียนโต ที่เคยลงชิงตำแหน่งกันมาแล้วในปี 2014 อีกครั้ง
ซึ่งการชนะเลือกตั้ง ด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศอีกครั้ง ก็ยังสะท้อนว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พวกเขายังคงสนับสนุนการเมืองแบบใหม่ ภายใต้การนำของโจโกวี และความเป็นกันเอง ติดดิน เข้าถึงประชาชนของผู้นำคนนี้ ยังทำให้เขาได้รับคะแนนนิยมอยู่
ผู้นำคนแรกที่ไม่ใช่ชนชั้นนำ และวงการทหาร
โจโก วิโดโด เป็นชื่อที่แปลว่าความแข็งแรง ในภาษาชวา ซึ่งประธานาธิบดีผู้แข็งแรงวัย 57 ปีท่านนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับการเมืองของอินโดนีเซียมาแล้ว ในการลงชิงตำแหน่งครั้งแรกของเขาในปี 2014 ที่เขาถือเป็นประธานาธิบดีคนแรก ที่ไม่ได้มาจากชนชั้นนำ หรือมียศ ตำแหน่งในวงการทหาร เหมือนอย่างประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทั้ง 6 คน
โจโกวีมาจากครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อเป็นคนขายฝืน และตัวเขาเองก็จบปริญญาทางด้านป่าไม้ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในธุรกิจด้านเฟอร์นิเจอร์ ก่อนจะเข้ามาทำงานการเมืองในปี 2005 เมื่อได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสุราการ์ตา หรือโซโล เมืองบ้านเกิดของเขาเอง
และช่วงหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งแรกของโจโกวี เขายังได้ฉายาว่า ‘โอบามาแห่งอินโดนีเซีย’ จากนโยบายที่ชูการต่อต้านทุจริตคอรัปชัน และยังเรียกได้ว่าไม่เคยเกี่ยวข้อง พัวพันกับการทุจริตในวงการการเมืองอินโดนีเซียของประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทำให้ภาพลักษณ์ต่างจากนักการเมือง หรือแม้กระทั่งคู่แข่งของเขาเอง
นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ว่า พื้นฐานความนิยมของ โจโกวี มาจากคาแรคเตอร์ของเขาเอง ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน เป็นคนของประชาชน ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นไปกว่าประชาชนทั่วไป และยังติดดิน เดินซื้อของที่ตลาด กินสตรีทฟู๊ด ดื่มยาสมุนไพร ขี่จักรยาน เล่นกับหลานชาย เดินทางไปต่างประเทศก็เข้าพักในโรงแรมราคาถูก ร่วมกิจกรรมกับประชาชน เช่น ร่วมเต้นรำหมู่กับประชาชนกว่า 65,000 คน เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างสถิติโลกให้ประเทศ ทั้งเนื้อหาสปีชของโจโกวีเอง ยังมักจะเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย และสุภาพ ทั้งเขายังไม่มีภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงอยู่ด้วย
“เขาเป็นคนชัดเจน ก่อนโจโกวี มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะหานักการเมืองที่ฟังเรา แต่เขาได้ขจัดสิ่งกีดขวางระหว่างรัฐบาลและประชาชนทั่วไป” Akbarudin Arif หัวหน้าภาคประชาสังคมท้องถิ่นพูดถึงโจโกวี ทั้งเขายังเล่าว่า โจโกวีมักพูดกับเจ้าหน้าที่เสมอว่า “ประชาธิปไตยเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการฟัง”
ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โจโกวี ได้ชูนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเขาเองได้ปฏิรูปอย่างมากในสมัยที่ผ่านมา ทั้งสร้างถนน ทางพิเศษ สนามบิน 10 แห่ง ท่าเรือ 19 แห่ง รวมไปถึงเปิดรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก หลังมีการวางแผนมากว่า 34 ปี จากผลงานในสมัยแรก ถือว่าเขาได้สร้างมอเตอร์เวย์มากกว่าประธานาธิบดีคนอื่นๆ ถึง 8 เท่า
นอกจากนโยบายนี้ เขายังชูเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งประชาชนที่ยังคงสนับสนุนโจโกวี ก็ให้ความเห็นว่าพวกเขาเข้าถึงการซื้อยาง่ายขึ้น จากนโยบายขยายการประกันสุขภาพ หรือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงประธานาธิบดีสามารถจัดการปัญหาเศรษฐกิจได้ดีพอสมควร เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และเติบโตอย่างมั่นคงด้วย
แฟนเพลงเฮฟวีเมทัล ที่ต่อต้านการคอรัปชัน
นอกจากภาพลักษณ์ผู้นำติดดิน คนธรรมดาๆ แล้ว อีกมุมนึงที่โดดเด่นของโจโกวี คือเขาเป็นแฟนเพลงแนวเฮฟวีเมทัล ซึ่งเขาเล่าว่า เขาไม่สามารถเรียนจบปริญญาได้เลย หากขาดเสียงเพลงเหล่านี้ และเขายังอ้างด้วยว่า มีอัลบั้มของวงเฮฟวีเมทัลอเมริกัน ‘Metallica’ ครบทุกอัลบั้มด้วย
ทั้งในการเดินทางมาเยือนอินโดนีเซีย ของ Lars Løkke Rasmussen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ยังได้มอบของขวัญทางการทูตเป็นซีดีแบบลิมิเต็ด อิดิชัน อัลบั้ม Master of Puppets ของวง Metallica ให้กับโจโกวี ซึ่งแม้จะเป็นแฟนเฮฟวี เมทัล และแฟนคลับวง Metallica แต่ภายหลังโจโกวีได้ใช้จ่ายเงินส่วนตัวจำนวน 11 ล้านรูเปียห์ (ประมาณ 25,000 บาท) เพื่อให้อัลบั้มนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวทับซ้อน
คณะกรรมการกำจัดการทุจริตของอินโดนีเซีย (KPK) ซึ่งเป็นผู้แถลงเรื่องการจ่ายเงินครั้งนี้ของประธานาธิบดี ระบุว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของการจ่ายเงิน แต่เป็นการรับรู้ และตระหนักถึงการคอร์รัปชัน แม้จะเป็นกรณีเล็กๆ ก็ตาม”
ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่โจโกวีได้รับของขวัญที่เขาชื่นชอบ แต่ในปี 2013 เขาก็ได้รับกีตาร์ พร้อมลายเซ็นจาก Robert Trujillo มือเบสของวง Metallica เมื่อวงมาจัดคอนเสิร์ตที่จาร์กาตา แต่สุดท้ายเขาก็ได้ส่งมอบกีตาร์นี้ให้กับ KPK เพื่อให้ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎจริยธรรมที่ห้ามมิให้ของขวัญแก่ข้าราชการ
โจโกวี กับงานในสมัยที่ 2
หลังจากที่สมัยแรก ได้ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศไปแล้ว ในสมัยที่ 2 นี้ นอกจากนโยบายเรื่องปากท้อง และความเป็นอยู่ที่เขาหาเสียงไป พรรคการเมืองและทีมงานยังประกาศว่า รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนามนุษย์มากขึ้น ควบคู่ไปกับเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน
ซึ่งในสมัยแรก เขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการเพิกเฉย และการจัดการที่ไม่เพียงพอต่อปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและชนกลุ่มน้อย รวมถึงการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก ที่จากผลการเลือกตั้งเบื้องต้นก็เห็นได้ว่า เขามักจะพ่ายแพ้ในเขตพื้นที่ที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ประชาชน เช่น สุมาตรา หรือสุลาเวสีใต้
จากการที่อินโดนีเซีย จำกัดระยะการครองตำแหน่งของประธานาธิบดี ที่ 2 สมัย เท่ากับว่าโจโกวี ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการลงเลือกตั้งใหม่ในครั้งต่อไป ซึ่งทำให้ประชาชน และผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า
เขาควรใช้เวลา 5 ปีนี้ กับการยืนยันความเป็นผู้นำของตัวเอง และจะนำการปกครองที่อิสระมากขึ้น ซึ่งเราคงต้องติดตามกัน ว่าผู้นำท่านนี้จะนำอินโดนีเซียไปในทิศทางไหนกัน และจะยังคงได้รับความนิยมขนาดไหน
อ้างอิงจาก