เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 กันยายน 2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5 เลื่อนฟังคำสั่งคณะกรรมการชี้ขาดเขตอำนาจศาล ว่าคดีการเสียชีวิตในค่ายทหารของพลทหาร กิตติธร เวียงบรรพต เมื่อปี 2566 อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ‘ศาลพลเรือน’ หรือ ‘ศาลทหาร’
โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้เลื่อนนัดออกไปอีกเป็นวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ที่การฟังคำสั่งชี้ขาดถูกเลื่อนนัดจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
กรณีการเสียชีวิตของพลทหารกิตติธร เป็นอีกกรณีการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายทหาร แต่เป็นคดีแรกหลังประเทศไทยมี พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย
ย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 พ่อและภรรยาของพลทหารกิตติธรเดินทางไปรับเขาที่ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย พบว่า กิตติธรมีอาการป่วยหนัก อิดโรย ตัวซีด และมีไข้
โดยก่อนหน้านี้ กิตติธรมีบาดแผลที่บริเวณหัวเข่าเกิดจากการฝึกและมีอาการป่วยมาหลายวัน แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงพยาบาล
กระทั่ง 14 กรกฎาคม 2566 กิตติธรถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช โดยแพทย์แจ้งว่าเป็นโรคเกี่ยวกับกรวยไต แต่ไม่ได้รับการรักษาให้พ้นวิกฤต
ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม กิตติธรมีอาการท้องเสียอย่างหนัก มีไข้สูง ปอดมีฝ้าสีขาว และมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด แพทย์จึงเสนอให้ย้ายไปยังโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ทว่ากิตติธรได้เสียชีวิตในวันต่อมา เนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด
จากนั้น ครอบครัวของกิตติธรได้เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เพื่อร้องเรียนไปยังศูนย์ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย กรุงเทพมหานคร ขณะที่ ญาติเข้าร้องเรียนต่อศูนย์ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย เชียงราย
9 ธันวาคม 2566 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สั่งฟ้องครูฝึก 2 นาย ยศร้อยโทและจ่าสิบโท ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการฝึกพลทหารกิตติธร ในข้อหาร่วมกันกระทำการโหดร้ายฯ ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย โดยเป็นคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5
ต้นปี 2567 จำเลยทั้งสองได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยื่นคำร้องต่อ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ให้วินิจฉัยว่า พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ที่กำหนดให้ฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ศาลทหารมีเขตอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวหรือไม่
พร้อมอ้างว่า การฝึกวินัยทหารมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่จำเป็นในการเตรียมความพร้อมในการรบหากมีสงคราม หากการกระทำของข้าราชการทหารถูกตรวจสอบโดยศาลอื่นนอกเหนือศาลทหาร ย่อมมีผลกระทบต่อการปฏิบัติ ธำรงวินัยทหาร และกระทบต่อความรักษาความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าทนายจำเลยยื่นคำร้องก่อนสืบพยานโจทก์เพียงหนึ่งวัน ซึ่งสะท้อนวัตถุประสงค์ในการประวิงคดีให้ชักช้า และไม่รับคำร้องกับปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ระหว่างศาล
ขณะที่ทนายของครอบครัวพลทหารกิตติธรได้คัดค้านคำร้องของจำเลย ซึ่งอ้างเรื่องการฝึกวินัยทหารหรืออยู่ในภาวะสงคราม ว่าไม่สามารถเป็นข้ออ้างหรือข้อยกเว้นที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ กระทำการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงต่อประชาชนได้
แม้กฎหมายสองฉบับลำดับศักดิ์ (พ.ร.บ.ธรรมนูญทหาร 2498 และ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย 2565) เท่ากัน ย่อมบังคับใช้ตามกฎหมายฉบับใหม่กว่า แต่ทนายของจำเลยยังร้องให้ศาลอาญาทุจริตฯ วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลอีกครั้ง
24 มกราคม 2568 หลังการนัดสืบพยานจำเลยนัดสุดท้าย ศาลแจ้งว่า ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้ทำความเห็นเกี่ยวกับเขตอำนาจส่งไปที่ศาลทหาร เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2567 และอยู่ระหว่างการรอความเห็นจากศาลทหารว่า “คดีดังกล่าวอยู่ในการดูแลของศาลทหารหรือไม่?”
ทั้งนี้ หากทั้งสองศาลเห็นตรงกัน ศาลจะนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ต่อไป แต่หากความเห็นของทั้งสองศาลไม่ตรงกัน สำนวนคดีนี้และความเห็นของทั้งสองศาล จะถูกส่งไปที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ซึ่งมีประธานศาลฎีกาเป็นประธานการพิจารณา
ความน่ากังวลจากภาคประชาสังคม คือ หากผลคณะกรรมการฯ ออกมาว่า คดีดังกล่าวเขตอำนาจเป็นของศาลทหาร คดีนี้จะเข้าสู่ศาลทหารทันที ซึ่งจะขัดแย้งกับ มาตรา 34 ของ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย ที่ระบุว่า ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ก็ตาม ให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
หากดูระยะเวลาการในการดำเนินตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม พบว่า คดีการเสียชีวิตของพลทหารกิตติธร ถูกทำให้ชะงักลงเป็นเวลากว่า 1 ปี หลังจำเลยทั้งสองยื่นเรื่องขอให้ศาลพิจารณาเรื่องเขตอำนาจศาลทหารและศาลพลเรือน เนื่องจากต้องรอคำสั่งจากคณะกรรมการชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาลเสียก่อน
ถึงกระนั้น คำสั่งชี้ขาดก็ถูกเลื่อนมาแล้วถึง 2 ครั้ง รวมเวลากว่า 4 เดือนก่อนถึงการฟังคำสั่งครั้งที่ 3 ซึ่งการเลื่อนนัดฟังคำสั่งไปเรื่อยๆ ย่อมสร้างภาระเกินจำเป็นให้แก่ครอบครัวผู้เสียหาย เพราะต้องลางานและมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการเดินทางจากต่างอำเภอ
อ้างอิงจาก