ถือเป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยในยุคหลังได้ประมาณหนึ่ง
กรณีโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังใน จ.พระนครศรีอยุธยา มอบอำนาจให้อาจารย์ไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขู่ให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 3 ราย ลบข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์โรงเรียนนี้ โดยเฉพาะเรื่องกฎระเบียบของโรงเรียน หากไม่ทำตามจะใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
สำหรับ The MATTER ติดตามดราม่านี้ โดยมีข้อสังเกตใน 2 เรื่อง คือ 1.การรับมือกับเสียงวิจารณ์ และ 2.การขู่ว่าจะใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
1.) เนื้อหาดราม่านี้ โดยสรุปก็คือ โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังเก่าแก่แห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เปิดสอนระดับมัธยมศึกษา ได้สร้างบัญชีทวิตเตอร์ขึ้นมา พร้อมกับโพสต์เอกสารการลงบันทึกประจำวัน ให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 3 ราย ลบข้อความวิพากษ์วิจารณ์โรงเรียน ไม่เช่นนั้นจะใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
2.) เหตุที่เราใช้คำว่า ‘โรงเรียนหญิงล้วนฯ’ แทนที่จะระบุชื่อโรงเรียนไปเลย ก็เพราะอยากให้ทุกคนโฟกัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากว่า (แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าเป็นโรงเรียนไหน เชื่อว่าคงหากันได้ไม่ยาก)
3.) ต่อมาเกิดกระแสตีกลับ พร้อมแฮชแท็ก #โรงเรียนหญิงล้วนย่านหัวรอ ที่วิพากษ์วิจารณ์โรงเรียนนี้ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกฎระเบียบโรงเรียนที่เข้มงวดเกินไป ห้ามนักเรียนไว้ผมยาว ต้องตัดผมไว้สั้นครึ่่งใบหู การแต่งกายต้องเรียบร้อยเป็นตามแบบของนักเรียน กระโปรงต้องยาวใต้เข่า ห้ามสวมใส่เครื่องประดับหรูหรา เสื้อผ้าหน้าผมต้องอยู่ในกฏระเบียบ ฯลฯ
รวมไปถึงพฤติกรรมของครูในการบังคับให้นักเรียนทำตามกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการใช้คำพูด
แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาแย้งว่า กฎระเบียบดังกล่าวบางอย่างก็สมเหตุสมผล และการอยู่ในโรงเรียนก็ควรจะเคารพกฎระเบียบ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
4.) กลุ่มการศึกษาเพื่อไทยเป็นไท ทวีตข้อความผ่าน @elsiamth ขอให้นักเรียนที่ถูกแจ้งความติดต่อกลับมา พร้อมจะให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
5.) นอกจากเอกสารลงบันทึกประจำวัน ทวิตเตอร์ของโรงเรียนหญิงล้วนดังกล่าว ยังโพสต์สารจากผู้บริหารโรงเรียน ชี้แจงเรื่องกฎระเบียบของโรงเรียน รวมถึงการบังคับใช้โดยเหล่าคุณครู (“..บางครั้งคําพูดอาจจะรุนแรงไปบ้างแต่เจตนา คือมีความหวังดีกับศิษย์เพื่อให้ศิษย์เป็นคนดี..”) และย้ำว่า พร้อมปรับปรุงพัฒนาโรงเรียน แต่ควรเสนอแนะผ่านทางช่องทางที่โรงเรียนจัดตั้งไว้
6.) ช่วงท้ายของคำชี้แจงโดยผู้บริหารโรงเรียนยังระบุว่า “โรงเรียนยังยืนยันในเจตนารมณ์ที่มุ่งอบรมให้ลูกศิษย์เป็นคน เก่ง กล้า น่ารัก” เพื่อสร้างกุลสตรีต่อไป
6.) คำถามที่เกิดขึ้นในใจเราทันที หลังได้อ่านแถลงการณ์จากผู้บริหารโรงเรียนหญิงล้วนนี้ ก็คือ ทางผู้บริหารของโรงเรียนพร้อมรับฟังเสียงวิจารณ์หรือความเห็นของนักเรียนต่อการปรับปรุงกฎระเบียบของโรงเรียน (และอาจรวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย) มากน้อยเพียงใด เหตุใดจึงเลือกวิธีไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจ
7.) อีกคำถามก็คือ การขู่ว่าจะใช้ ‘พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์’ เล่นงานคนที่โพสต์วิจารณ์โรงเรียน
ทำไมกฎหมายดังกล่าว ..จึงถูกยกมาพูดถึงในกรณีนี้ด้วย ?
8.) อย่างที่ The MATTER รายงานมาโดยตลอดว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ฉบับแรกที่ออกมาในปี พ.ศ.2550 ถูกมองว่าโดนนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ฟ้องร้องกันฐานหมิ่นประมาทมากมาย กระทั่งฉบับแก้ไขที่ออกมาในปี พ.ศ.2560 ถึงกับมีเนื้อหาระบุว่า ไม่ให้ฟ้องกันฐานหมิ่นประมาท โดยผู้เกี่ยวข้องก็อ้างว่า จะทำให้คดีหมิ่นประมาทลดลงไปนับหมิ่นๆ คดี
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นความจริง! – กฎหมายนี้ยังถูกนำมาใช้เพื่อฟ้อง ‘ปิดปาก’ กันอยู่
8.) ถามว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จะใช้ฟ้องในกรณีให้ข้อมูลเท็จบนโลกออนไลน์ได้ไหม ตามตัวบทกฎหมายสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น เสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย เสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ อาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ฯลฯ
ไม่ใช่ว่า คิดว่าเท็จปุ๊บ หรือไม่จริงในมุมของฉัน ก็สามารถฟ้องร้องกันได้เลย
[ ถ้ามีคนถามว่า แล้วถ้ามีการหมิ่นประมาทกันผ่านการโพสต์ข้อความต่างๆ ลงโซเชียลมีเดีย ถ้าไม่ใช่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฟ้อง จะใช้กฎหมายอะไรฟ้องล่ะ คำตอบง่ายๆ ก็คือใช้ประมวลกฎหมายอาญาฟ้องไปตามปกติ แม้อัตราโทษจะน้อยกว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็ตาม ]
9.) มีเสียงวิจารณ์ว่า การที่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกพูดถึงกันบ่อยๆ ในระยะหลัง จนหลายคนคิดว่า ‘เท็จบนออนไลน์ = ผิด พ.ร.บ.คอมฯ’ ก็มาจากท่าทีของรัฐบาลเอง ที่พยายามชูบทบาทของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ anti-fake news center ที่ล่าสุดมีข้อเสนอให้มีกองบัญชาการตำรวจที่ทำคดีเกี่ยวกับข่าวปลอมขยายไปทั่วประเทศ
โดยเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านข่าวปลอมของภาครัฐ ก็คือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นั่นเอง
10.) ที่บอกไว้ตั้งแต่บรรทัดแรกเลยว่า กรณีนี้แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่กลับสะท้อนภาพรวมของสังคมได้ประมาณหนึ่งเลย คือ #ผู้มีอำนาจ (ในโรงเรียน) #ใช้วิธีการทางกฎหมาย (ลงบันทึกประจำวันขอให้ลบข้อความ) มาจัดการกับ #เสียงวิจารณ์ ทั้งๆ ที่น่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า และมองว่าหนี่งในเครื่องมือสำคัญ ก็คือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
11.) แม้ล่าสุด ทวิตเตอร์ของโรงเรียนหญิงล้วนนี้ จะลบเอกสารลงบันทึกประจำวันไปแล้ว ประกอบกับทางสำนักข่าวประชาไทสอบถามตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยาที่ยืนยันว่า อาจารย์ที่มาแจ้งความ ไม่ได้ต้องการจะเอาผิดจริงๆ
12.) ทว่าตอนนี้เรื่องราวก็บานปลายไปไกลมาก มีทั้งการล่าแม่มดนักเรียนที่วิจารณ์โรงเรียน มีทั้งการอ้างเรื่องการลวมลามเด็กนักเรียน และมี ส.ส.จากพรรคก้าวไกล วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เข้ามาแสดงความเห็น โดยเสนอให้นักเรียนโรงเรียนนี้หากพบปัญหาใดๆ ส่งข้อร้องเรียนไปยังคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ที่ดูแลโรงเรียนมัธยมฯ ใน จ.นนทบุรีและพระนครศรีอยุธยา ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาหารือ เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลาย
ดราม่านี้จะจบเช่นไร ต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิงจาก
https://education.kapook.com/view224867.html
https://prachatai.com/journal/2020/04/87346
https://ch3thailandnews.bectero.com/news/184512
#Recap #TheMATTER