ไปทะเลครั้งล่าสุด คุณมีโอกาสได้เดินทำเอ็มวีที่หาดไหม? หลายคนไม่ได้รับโอกาสนั้นแล้ว เมื่อ ‘กำแพงกันคลื่น’ ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตคนริมฝั่ง และนักท่องเที่ยว รวมถึงความเข้าใจต่อวิธีแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งไปเสียแล้ว
ภาพชายหาดชะอำ จ.เพชรบุรี ที่มีกำแพงคอนกรีตขนานยาวไปกับแนวหาดจนสุดลูกหูลูกตา กลับมาจุดประเด็นคำถามระลอกใหม่ ถึงทางออกของการแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ ว่าเรามาถูกทางแล้วจริงหรือไม่
ด้วยฟากฝั่งหนึ่งเห็นว่า ไม่มีวิธีการใดจะป้องกันและลดแรงปะทะจากคลื่นชายฝั่งได้ดีไปกว่ากำแพงกันคลื่น ขณะที่คนเห็นต่างก็มองกลับ ว่าวิธีนี้กำลังทำลายระบบนิเวศชายฝั่งไปทีละน้อย และกระทบกับชีวิตผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ถึงได้เป็นเหตุให้หลายปีมานี้ นักท่องเที่ยวต่างแบ่งปันประสบการณ์ต่อชายหาดที่เปลี่ยนไป แถมภาพหาดชะอำที่ถูกส่งต่อจนมีผู้แสดงความเห็นในโลกออนไลน์จำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ ก็เผยแพร่ครั้งแรกมานานนับปีแล้ว นั่นยิ่งสะท้อนว่า ปัญหากำแพงกั้นคลื่นไม่เคยเป็นเรื่องตกเทรนด์เลย
The MATTER จึงถือโอกาสนี้ชวนทำความรู้จัก‘กำแพงกันคลื่น’ และสำรวจปัญหาที่กำลังถูกพูดถึง ผ่าน #ทวงคืนชายหาด โดยเฉพาะประเด็นคำถามว่าเหตุใดโครงการลักษณะนี้ จึงไม่ต้องทำรายงาน EIA
กำแพงกันคลื่นคืออะไร
บ่อยครั้งที่เราตัดสินใจไปเที่ยวทะเล โดยเลือกจากกิจกรรมที่สนใจ โดยเฉพาะหากครอบครัวไหนมีลูกเล็ก ก็อาจจะมุ่งหน้าหาที่ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น ดังนั้นชายหาดที่มีกำแพงกันคลื่นจึงตกเป็นทางเลือกท้ายๆ โดยปริยาย
กำแพงกันคลื่น นับเป็นโครงสร้างทางทะเลที่ใช้ลดพลังงานคลื่น โดยการสะท้อนคลื่นบางส่วนก่อนที่จะเข้าปะทะฝั่ง เพื่อป้องกันการกัดเซาะพื้นที่หลังแนวกัน ในการออกแบบอาจมีการเชื่อมต่อกับชายฝั่งโดยตรง หรือแยกออกจากแนวชายฝั่งก็ได้
บทความของ สมาธิ ธรรมศร อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ม.เกษตรศาสตร์ ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสมาคมฟิสิกส์ไทย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน อธิบายไว้ว่า เมื่อชายฝั่งถูกจู่โจมด้วยน้ำขึ้นจากพายุ คนเลยใช้วิธีระเบิดหินจากภูเขามาสร้างกำแพงหินริมทะเล
ในหลายประเทศยังคงมีการก่อสร้างโครงสร้างแข็ง (Hard Structure) เช่นเดียวกับในบ้านเรา ซึ่งจะมี 6 รูปแบบ คือ
- กระสอบทราย (Sandbag)ให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ไม่ต่างกับที่ใช้กันทั่วไปในช่วงน้ำหลากในหลายพื้นที่
- แนวหินทิ้ง (Riprap) เป็นการนำหินเล็กหรือใหญ่ตามที่หาได้ มาวางเรียงโดยมีตาข่ายมาหุ้มอีกชั้น
- กำแพงกันคลื่น (Seawall หรือ Revetment) นี่แหละคือรูปแบบที่กำลังเถียงกัน เพราะเป็นคอนกรีตที่วางขนานหาด
- เขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง (Offshore Breakwater) หากหาดไหนมีพื้นที่เว้าเป็นช่วงๆ อาจสันนิษฐานได้ว่า มีเขื่อนลักษณะนี้ตั้งอยู่กลางน้ำ มักเป็นกองหินขนาดใหญ่
- คันดักตะกอน (Groin) เป็นลักษณะแนวกองหินที่วางยื่นลงไปในทะเล
- กำแพงปากแม่น้ำ (Jetty) ทำขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการแล่นเรือ ด้วยการขุดลอกตะกอนบริเวณปากแม่น้ำ แล้ววางโครงสร้างแข็งระหว่างรอยต่อ
พบที่ไหนในไทยบ้าง
ทางด้าน Beach Lover ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านภาพถ่ายดาวเทียม และลงพื้นที่ภาคสนามพบว่า จนถึงเดือนธันวาคมปี 2562 มีกำแพงกันคลื่น 179 ตำแหน่ง ใน 23 จังหวัด เท่ากับทุกจังหวัดในพื้นที่ติดทะเลมีโครงสร้างนี้อยู่
ตัวอย่างสำคัญที่ถูกยกมาพูดถึงบ่อย เพราะกลายเป็นคดีที่ประชาชนลุกขึ้นฟ้องรัฐ นั่นคือ คดีหาดสะกอม จ.สงขลา ที่กรมเจ้าท่าได้สร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่น ในปี 2541 จนเกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรง
แม้การต่อสู้กว่า 14 ปี จะจบที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกฟ้อง ด้วยมองว่าชอบด้วยกฎหมาย เพราะอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่ต้องทำ EIA แล้ว แต่ก็นับเป็นการจุดประกายให้ผู้คนตระหนักถึงสิทธิ และหวงแหนพื้นที่มากขึ้น
เช่นเดียวกับอีกหลายหาดใน จ.สงขลา ที่ชาวบ้านประสบปัญหาคล้ายกัน อย่างหาดทรายแก้ว หาดเกาะแต้ว รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง เช่น หาดหน้าสตน จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น
องค์ความรู้ที่อาจยังไม่ถูกพิจารณา
‘หาดทรายจะมีการกัดเซาะในฤดูมรสุม แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูที่ไม่มีมรสุม ทรายก็จะถูกน้ำพัดพากลับมายังหาดทรายดังเดิม’ เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปี ที่ทำให้สมาธิมองว่า ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ถึงสาเหตุและแก้ปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจงแต่ละพื้นที่
ด้วยข้อสนับสนุนของการศึกษาในปัจจุบันที่่พบว่า โครงสร้างแข็งเหล่านี้กำลังทำให้หาดทรายหายไปเรื่อยๆ ตามคำอธิบายตามหลักการเคลื่อนที่ของคลื่น (Wave Motion)
ขออธิบายคร่าวๆ ว่า เมื่อคลื่นเคลื่อนจากเขตน้ำลึกมายังน้ำตื้น ก็ต้องผ่านพื้นทรายที่คอยเสียดทาน ทำให้อัตราเร็วคลื่่นลดลง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือ คลื่นจะยกตัวสูงก่อนจะแตกสลาย ดังนั้นเมื่อมีโครงสร้างแข็งมากั้น คลื่นที่จะปะทะจึงเกิดการสะท้อนกลับ ทำให้ตะกอนที่ฐานของโครงสร้างแข็งที่ถูกพัดพามารวมกันตามธรรมชาติ ถูกกัดเซาะออกไปด้วย
และด้วยหลักการเช่นนี้ เมื่อมีกำแพงกันขึ้นมาจึงทำให้การเคลื่อนที่ของคลื่นเปลี่่ยนแปลงไปในหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดล้วนก่อปัญหาของ ‘สมดุลตะกอน’ ที่เปลี่ยนไป อย่างโครงสร้างแข็งที่ยื่นออกไปนอกชายฝั่ง จะสามารถดักตะกอนที่ถูกพัดพามาตามหาดทรายเอาไว้ที่หาดทรายด้านหนึ่ง แต่ทำให้หาดทรายอีกด้านหนึ่งถูกกัดเซาะแทน
เป็นที่มาของการรับมือด้วยรูปแบบใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับหาดทรายมากขึ้น อย่างการกำหนดระยะถอยร่น แบ่งเขตชุมชนและเขตหาด การเติมและถ่ายเททราย การปลูกหญ้าทะเล การติดตั้งกำแพงกันคลื่นแบบทุ่นลอย หรือแบบรูพรุนขนาดเล็ก เป็นต้น
ทำไมไม่ต้องทำ EIA
พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มีข้อกำหนดที่พูดถึงการดำเนินการโครงการ หรือกิจการประเภทใดๆ ถ้าหากเข้าข่ายว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบ จำเป็นต้องป้องกันและแก้ไขก่อนที่จะเริ่มต้น ผ่านการทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่เราคุ้นชินกันว่า EIA (Environmental Impact assessment)
ในอดีตกำแพงกันคลื่นก็จัดในกลุุ่มที่ต้องทำ EIA แต่แล้วปี 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กำแพงและกองหินกันคลื่น ความยาวตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป เป็นโครงสร้างแข็งที่ได้รับการยกเว้น ด้วยเหตุผลว่าเป็นปัญหาเร่งด่วน และต้องการความคล่องตัวในการทำงาน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้กำแพงกันคลื่นผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดมาตลอดเกือบ 10 ปี
ไม่นานมานี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ก็เพิ่งย้ำถึงเหตุผลที่ว่า ระดับของผลกระทบขึ้นอยู่กับพื้นที่ จึงต้องพิจารณาผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และสิ่งที่ต้องสูญเสียไป ดังนั้นการจะนำ EIA มาใช้อีกครั้งกับกรณีนี้อาจไม่ใช่กลไกแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้
อีกทั้งมองว่า กลไกกรองอีกชั้นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง ก็ช่วยลดจำนวนโครงการในภาพรวมไปแล้ว โดยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เหลือเพียง 6 โครงการ และ พ.ศ. 2566 มี 5 โครงการ และปี 2567 มี 6 โครงการ
แม้จะมีคำยืนยันเช่นนี้ แต่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง Beach for Life ซึ่งติดตามโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นทั่วประเทศ ก็ตั้งข้อสังเกต ว่างบประมาณการสร้างกำแพงกันคลื่น ช่วงปี 2550-2557 ทั้งของกรมเจ้าท่า และกรมโยธาธิการและผังเมือง รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท
และเมื่อไม่ต้องทำ EIA แล้ว งบประมาณในช่วงปี 2558-2566 ขยับไปอยู่ที่ 8,400 ล้านบาท จากโครงการทั้งหมด 125 โครงการ ซึ่ง 78.9% อยู่ภายใต้กรมโยธาฯ
#ทวงคืนชายหาด
เป็นจุดตั้งต้นครั้งใหม่ ของการเคลื่อนพลมาปักหลักที่หน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของเครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด 94 องค์กร ทั่วทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก ภายใต้ 3 ข้อเรียกร้อง ดังนี้
- ยกเลิกมติ ครม. ให้อำนาจกรมโยธาฯ ป้องกันชายฝั่ง
- เรียกร้องให้โครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น ต้องกลับมาทำ EIA
- ฟื้นฟูชายหาดที่เสียหาย
ยื้อกันไปมาอยู่ระยะหนึ่ง ตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มีมติรับหลักการด้วยการตั้งคณะทำงานพิเศษ ที่มีสัดส่วนจากทั้งรัฐและประชาชนมาร่วมประชุม ภายในระยะเวลา 90 หรือ 120 วัน ทำให้เครือข่ายที่มาร่วมชุมนุมพอใจ แม้จะยังไม่ได้วางใจก็ตาม
“ในปัจจุบันทั้งโลกนักวิชาการต่างสรุปตรงกันว่า กำแพงกันคลื่น คือ The death of beach เป็นความตายของชายหาด กำแพงกันคลื่นไปที่ไหนชายหาดจะตายทันที เพราะมันจะไม่เหลือชายหาดอีกต่อไป” อภิศักดิ์ ทัศนี จากกลุ่ม Beach for life กล่าวไว้บนเวทีเสวนาสาธารณะ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม
เช่นเดียวกับ ไวนี สะอุ ตัวแทนประชาชนชาวสะกอม ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง กล่าวไว้ว่า “ทุกวันนี้บริเวณนั้นลึกมาก ไม่สามารถลงไปได้ เป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ และมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะการสูญเสียสิทธิแห่งความชอบธรรม ที่เรามีสิทธิที่จะเรียกร้อง”
“การยกเลิก EIA แปลว่ารัฐบาลไม่อยากฟังเสียงของพี่น้องเรา ทำให้เกิดการสูญเสียที่มากมายเหลือเกิน ทั้งหาดที่สวยงามและกิจกรรมที่เราทำที่ชายหาดเกือบหมดสิ้นแล้ว”
ไม่ว่าคุณคิดเห็นอย่างไรกับปัญหากำแพงกันคลื่น คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการพูดคุยบนพื้นฐานของข้อมูล ที่มีการศึกษาเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะได้หาทางออกที่ครอบคลุม และทันท่วงที
อ้างอิงจาก
ศูนย์พัฒนาการสือสารด้านภัยพิบัติ