“โรคซึมเศร้าน่ากลัวกว่าที่คิด ไม่มีเวลาให้เรา แม้กระทั่งการร่ำลา ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่กำลังยิ้ม หัวเราะ มีความสุขด้วยกันอยู่ข้างๆ แต่มี ณ ขณะหนึ่ง เสี้ยววินาทีเท่านั้น หันหลังจากเราไป อาจเป็นการจากไปตลอดกาล” สส.สิริลภัส เคยกล่าวในสภา
ชื่อของ ‘หมิว-สิริลภัส กองตระการ’ ปรากฎผ่านหน้าสื่อตลอดวันที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่เธอเป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า วันนี้เราชวนทุกคนย้อนไปดูการอภิปรายของเธอ ในวันที่เธอร้องไห้ระหว่างการพูดถึงงบประมาณของการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตกันอีกครั้ง
ย้อนไปเมื่อ 5 มกราคม 2567 ในการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
สิริลภัสได้ยกประเด็นงบประมาณสุขภาพจิต ซึ่งสอดคล้องกับนโยาบายของพรรคเพื่อไทย ในการ ‘ยกระดับ 30 บาทพลัส’ ซึ่งมีรายละเอียดของงบประมาณในการมุ่งเน้นไปที่อาการของผู้ป่วยจิตเวชจากยาเสพติด มากกว่าปัญหาสุขภาพจิตปกติ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนไม่แพ้กัน
โดยในร่างงบประมาณปี 2567 กรมสุขภาพจิตได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียงร้อยละ 1.8 จากงบของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งถูกตัดออกจากงบประมาณที่ขอไปถึงร้อยละ 69.4
นอกจากนี้ เงินอุดหนุนรายโครงการที่ดูแลสุขภาพจิตวัยรุ่นและวัยทำงานก็มีน้อย เมื่อเทียบกับโครงการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากยาเสพติดโครงการเดียวซึ่งได้งบประมาณถึง 1 ล้านบาท
ดังนั้น สิริลภัสจึงเสนอให้รัฐบาลกลับไปทบทวนการจัดสรรความคุ้มค่า เพิ่มบุคลากรด่านหน้า สร้างแรงจูงใจ ค่าตอบแทนที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าหน้าที่จิตเวช เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการรักษา และเพิ่มบัญชียาหลักในการรักษาผู้ป่วยจิตเวช
เธอบอกว่า ทุกวันนี้มีคนพยายามจบชีวิตของตนเองถึง 85 คน โดยจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เพียงตัวเลขแต่เป็นลูก หลาย พ่อแม่ เพื่อน ของใครสักคน ผู้ป่วยเหล่านี้เป็นบุคลากรที่สำคัญของประเทศ
“ดิฉันอยากให้ท่านลองมาสลับตัวกับคนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้ ท่านจะได้รู้ว่าหากวันหนึ่งสารเคมีในสมองท่านทำงานผิดปกติ จะพบอาการที่เจ็บปวดและทรมานขนาดไหน” สิริลภัส กล่าวพร้อมกับน้ำตา
“ดิฉันในฐานะของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขอพูดแทนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศไทย ให้ท่านช่วยพวกเราด้วย ให้ความสำคัญกับเราด้วย ให้คนที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ การรักษาสามารถเข้าถึงการรักษาที่ครอบคลุม เหมาะสม และขอแสดงความเสียใจ ต่อการจากไปของคนที่จากไปจากโรคนี้ และขอเรียกร้องอย่ามองข้ามคนกลุ่มนี้เพราะในทุกวัน มีคนพยายามฆ่าตัวตายกว่า 85 คน”
ทุกวันนี้ สิริลภัสมองว่า หากทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาและได้รับการรักษาอย่างครอบคลุม คงไม่มีใครต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและความสูญเสียอย่างที่เธอและครอบครัวต้องเผชิญ