สำหรับชาวไทยที่ติดตามข่าวสารในภาพยนตร์ในช่วงเดือนกันยายน ปี ค.ศ.2021 น่าจะได้เห็นแล้วว่าภาพยนตร์ Cruella กำลังจะฉายผ่านโปรแกรมสตรีมมิ่งหลังจากเข้าในโรงภาพยนตร์หลายประเทศทั่วโลกไปแล้วในช่วงราวๆ สามเดือนก่อน อีกด้านหนึ่งก็มีข่าวยืนยันมาว่า ภาพยนตร์ The Matrix ภาคทื่สี่จะใช้ชื่อภาคว่า Resurrections
ทั้งสองข่าวดูไม่เกี่ยวข้องกันเสียทีเดียว แต่เราจับประเด็นได้นิดหน่อย เพราะภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนั้นเป็นการนำเอาภาพยนตร์ภาคต้นที่ถูกสร้างไว้เมื่อหลายปีก่อน กลับมาสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง และตั้งแต่เข้าปี ค.ศ.2022 ก็มีภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่จู่ๆ ก็ประกาศสร้างภาคต่อแบบที่คนดูไม่ทันได้ตั้งตัว
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของภาพยนตร์จากทางฮอลลีวูด ที่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว จะมีการหยิบผลงานเก่าๆ มาสร้างใหม่อีกครั้ง โดยมีเหตุผลในการสร้างที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจนทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์อยากจะเล่าเรื่องที่ก่อนหน้าทำไม่ได้, การตีความตัวละครผลงานดั้งเดิมในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป หรืออาจจะเป็นเหตุผลที่อยากสร้างภาพยนตร์ที่ได้กำไรสูงก็ตามที
ดังนั้นเราเลยขอแนะนำหนัง 10 เรื่อง ที่เป็นภาคต่อ-ภาคย้อน-ภาคตีความใหม่ ที่มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์หรืออาจจะลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งไปแล้วให้ทุกคนได้ติดตามรายละเอียดกัน
Cruella
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: 102 Dalmatians (2000)
ภาพยนตร์ Cruella ตั้งใจเล่าที่มาที่ไปของตัวละคร Cruella de Vil แฟชั่นดีไซน์เนอร์ผู้มีความสามารถ แต่เธอหลงใหลกับการใช้วัตถดิบเฉพาะทาง โดยเฉพาะหนักของสัตว์หายากในการทำเสื้อผ้าของเธอ และที่มาที่ไปของดีไซน์เนอร์หญิงว่าได้ชื่อที่ดู ‘ชั่วร้าย’ ได้อย่างไร ตัวภาพยนตร์ถือว่าเป็นการรีบูทและการย้อนความ ภาพยนตร์ 101 Dalmatians ฉบับคนแสดงที่ออกฉายในปี ค.ศ.1996 หรือราว 25 ปีก่อน
และเหมือนว่าการรีบูทครั้งนี้จะได้ผลตอบรับที่ดีระดับหนึ่ง จากรายได้และคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างโอเค ทั้งยังเหลือพื้นที่ให้เล่าเรื่องราวต่อได้ไม่น้อย ถ้าอิงจากคำวิจารณ์ที่ว่า ตัวเอกของเรื่องยังรายได้มากกว่านี้ หรือถ้าจะต้องการเดินเรื่องให้ไปต่อยอดในการสร้างภาพยนตร์ 101 Dalmatians ฉบับรีเมคก็ยังทำได้ แม้ว่าจะไม่มีการยืนยันว่าภาพยนตร์ Cruella 2 จะเดินเรื่องไปทิศไหน แต่ที่ยืนยันแล้วก็คือ เอมมา สโตน (Emma Stone) ยังกลับมารับบทเป็นดีไซน์เนอร์วายร้ายที่หลายคนชื่นชอบนั่นเอง
The Matrix: Resurrections
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: The Matrix Revolutions (2003)
เรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรที่เคยสั่นคลอนอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาก่อนด้วยการถ่ายภาพแบบ Bullet Time สุดล้ำ กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในการสร้างเรื่องราวต่อจากภาพยนตร์ฉบับเดิม เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเกม The Matrix Online เปิดให้บริการมาก่อนและทาง Warner Bros. ที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ เคยระบุว่าเรื่องราวที่เกิดในเกมจะเป็นเนื้อหาทางการของจักรวาลนี้ และก็มีข่าวลือมาแล้วหลายครั้งที่ระบุว่าจะมีการสร้างภาคต่อ
จนกระทั่งราวปี ค.ศ.2019 ที่มีการยืนยันทางการว่า ลาน่า วาโชว์สกี้ (Lana Wachowski) จะกลับมาในฐานะผู้กำกับ และได้ เดวิด มิตเชลล์ (David Mitchell) ผู้เขียนนิยาย Cloud Atlas กับ อเล็กซานดาร์ เฮมอน (Aleksandar Hemon) ที่เคยร่วมงานในซีรีส์ The Sense8 มาร่วมกันเขียนบท (ส่วนลาน่า วาโชว์สกี้ไม่ได้ร่วมงานนี้เนื่องจากในช่วงขั้นตอนการสร้างเจ้าตัวอยู่ในช่วงการผ่าตัดแปลงเพศ, ติดงานอื่นๆ และติดพันธะส่วน จนไม่มีกำลังมากพอจะมาร่วมงานได้)
ฝั่งนักแสดงยังได้ เคอานู รีฟส์ (Keanu Reeves), แคร์รี-แอนน์ มอสส์ (Carrie-Anne Moss), เจดา พิงคิตต์ สมิท (Jada Pinkett Smith) และ แลมเบิร์ต วิลสัน (Lambert Wilson) กลับมารับบท Neo, Trinity, Niobe และ Merovingian ที่พวกเขาเคยแสดงไว้ในภาพยนตร์ไตรภาคชุดเดิม
อย่างไรก็ตามในฉบับภาพยนตร์ภาคต่อไม่ได้ระบุว่าจะเดินเรื่องจากเรื่องราวส่วนไหน แต่ถ้าคาดเดาจากข่าวที่ยังไม่ยืนยันว่า ยาห์ยา อับดุล-มาทีน ที่ 2 (Yahya Abdul-Mateen II) จะรับบทเป็น Morpheus เอง ก็มีความเป็นไปได้ว่าภาพยนตร์จะอ้างอิงเนื้อเรื่องจากภาคเกมที่มีการสังหาร Morpheus ไปแล้ว แต่ก็มีผู้ติดตามเรื่องในจักรวาล The Matrix เชื่อว่า จริงๆ แล้วนั่นเป็นการแกล้งตายแล้วย้ายร่างไปแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับตัวละครอื่นมาก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตามคงจะต้องติดตามเรื่องราวภาคต่อที่แท้จริงในช่วงปลายปี ค.ศ.2021 นี้
He’s All That
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: She’s All That (1999)
ย้อนไปปี ค.ศ.1999 มีภาพยนตร์แนวโรแมนติกติดตลก เกี่ยวกับหนุ่มหล่อเฟี้ยวในโรงเรียนมัธยมปลาย ที่โดนแฟนสุดสวยทิ้ง ก่อนเพื่อนจะท้าทายให้จีบสาวเฉิ่มในโรงเรียน แล้วเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นดาวเด่นในงานเต้นรำที่กำลังจะมาถึง
ส่วน He’s All That ที่ฉายผ่านทาง Netflix ในปี ค.ศ.2021 นั้น เป็นเรื่องของสาวสวยในโรงเรียนผู้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ในอินสตาแกรม ที่โดนแฟนหนุ่มนอกใจ และถูกเพื่อนท้าให้เปลี่ยนหนุ่มเนิร์ดให้กลายเป็นดาวเด่นดาวเด่นในงานเต้นรำที่กำลังจะมาถึง
หรือถ้าอธิบายโดยง่าย หนังฉบับใหม่เป็นการสลับเพศของหนังฉบับเก่า ในระดับที่ว่ามีนักแสดงจากหนังต้นฉบับมารับบทใหม่ แถมยังใช้เพลง Kiss Me ฉบับคัฟเวอร์ใหม่มาประกอบหนัง และเชื่อว่าตัวหนังตั้งใจเกาะกระแสระลึกความหลังให้แฟนหนังที่โตขึ้นได้ระลึกความหลังจากหนังเก่า ส่วนแฟนหนังรุ่นใหม่ก็เข้าถึงได้ง่ายเพราะเล่นกับกระแสสื่องสังคมออนไลน์ในปัจจุบันด้วย
Ghostbusters: Afterlife
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Ghostbusters II (1989)
ถึงแม้ว่าตัวภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ Ghostbusters จะเพิ่งมีฉบับรีบูทแบบสลับเพศของตัวละครหลักออกฉายไปในปี ค.ศ.2016 แม้ว่ากระแสจากนักวิจารณ์จะไม่ได้ถึงจุดวิกฤต แต่รายได้และเสียงตอบรับจากแฟนของภาพยนตร์ภาคดั้งเดิมบ่งชี้ว่านี่ไม่ใช่ภาคต่อที่ผู้คนอยากได้ ทำให้มีการตัดสินใจว่า ภาพยนตร์ดังกล่าวจะกลายเป็นเอกเทศไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาคอื่นใด
ดังนั้น Ghostbusters: Afterlife จะเดินเรื่องโดยอิงว่าเป็นเหตุการณ์ 30 ปีให้หลังจากภาพยนตร์ภาคสอง แต่เรื่องราวจะไม่อยู่ในกรุงนิวยอร์กอีกต่อไป เพราะเรื่องราวขยับไปอยู่ในเมืองซัมเมอร์วิลล์สุดห่างไกล แถมเป็นการเล่าเรื่องผ่านแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านของตา … ที่จริงๆ แล้วเป็นสมาชิกของทีมปราบผีรุ่นดั้งเดิม
แผนการสร้างภาพยนตร์ Ghostbusters ภาคต่อจากเรื่องดั้งเดิมนั้น ความจริงมีแผนมาตั้งแต่ยุค 1990 แล้ว กระนั้นด้วยเหตุผลหลายๆ ประการก็ทำให้แผนการสร้างถูกเลื่อนออกและถูกยกเลิกไปในที่สุด เมื่อเข้าสู่ยุค 2010 ก็มีความพยายามที่จะสร้างภาพยนตร์ภาคต่ออีกโดยตั้งใจจะให้เป็นการส่งไม้ต่อจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ แต่การสร้างก็ยังไม่เกิดขึ้นเพราะนักแสดงหลักอย่าง บิล เมอร์เรย์ (Bill Murray) ยังยืนยันไม่มารับบทเดิมของตัวเอง แผนการสร้างจึงล้มไปอีกครั้ง
เมื่อเข้าสู่ปี ค.ศ.2014 ฮาโรลด์ รามิส (Harold Ramis) ที่เป็นหนึ่งในนักแสดงหลัก ก็เสียชีวิตลงจากโรคประจำตัว ก่อนที่ช่วงปลายปีเดียวกัน ไอวาน ไรต์แมน (Ivan Reitman) ก็แจ้งว่าจะไม่กลับมากำกับภาพยนตร์ภาคต่อแล้ว จนหลายคนมองว่าเกม Ghostbusters: The Video Game ที่ได้ทีมเขียนบทและทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมาพากย์ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ภาคที่สามมากที่สุด
กระนั้นก็เริ่มมีข่าวดีเข้ามาให้แฟนหนัง Ghostbusters ชุดเดิม เมื่อมีการยืนยันในต้นปี ค.ศ.2019 ว่า เจสัน ไรท์แมน (Jason Reitman) ลูกชายของไอวาน ไรต์แมนจะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับ และยังได้ทีมนักแสดงหลักชุดเดิม ทั้ง บิล เมอร์เรย์, แดน แอครอยด์ (Dan Aykroyd), เออร์นี ฮัดสัน (Ernie Hudson) และ ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ (Sigourney Weaver) ส่วน ฮาโรลด์ รามิสที่เสียชีวิตไปแล้ว ถูกระบุว่าจะมาเป็นภาพฟุตเทจย้อนความ และเนื่องจากไวรัส COVID-19 เลยทำให้ภาพยนตร์โดนเลื่อนฉายจากกำหนดเดิมในปี ค.ศ.2020 มายังปี ค.ศ.2021 แทน
Ghostbusters: Afterlife ถูกนำไปฉายทั้งเรื่องในงาน CinemaCon ปี ค.ศ.2021 แบบไม่ประกาศผ่านสื่อมาก่อน ทำให้มีคนได้ร่วมรับชมจำนวนเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น และสื่อมวลชนแทบทุกเจ้าที่มีโอกาสได้รับชมต่างพูดไปทางเดียวกันว่า นี่คือภาพยนตร์ที่แฟน Ghostbusters เฝ้ารอมานาน ทั้งความสดใหม่และฉากที่ชวนระลึกความหลังถึงเรื่องเก่า แบบที่คุ้มค่าการรอคอยมากว่า 30 ปี เลยทีเดียว
Candyman
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Candyman: Day of the Dead (1999)
ย้อนไปในช่วงปี ค.ศ.1980-1990 ที่ภาพยนตร์แนวไล่ฆ่ากันเป็นที่นิยมของตลาด รวมไปถึงมีการนำเอานิยายแนวสยองขวัญจากนักเขียนดังมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ และได้มีคนนำเอาเรื่องสั้น The Forbidden ของ ไคลฟ์ บาร์คเกอร์ (Clive Barker) มาสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง ที่มีเนื้อหาหลักเกี่ยวนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ศึกษาด้านกราฟฟิตี้ของผู้คนและได้สังเกตุเห็นว่ามีกราฟฟิตี้ส่วนหนึ่งพูดเกี่ยวกับตำนานเมืองที่ชื่อว่า Candyman ที่อาจจะเกี่ยวพันกับเหตุการฆาตกรรมลึกลับที่เกิดขึ้น
เมื่อนำมาถึงมือทีมผู้สร้างภาพยนตร์ก็ได้ยืมโครงเรื่องของนิยายแบบหลวมๆ ผสมกับตำนานการเรียกชื่อหน้ากระจกจะทำให้พบกับผีลึกลับ พ่วงด้วยคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริง จนทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Candyman ที่ออกฉายในปี ค.ศ.1993 มีส่วนผสมในเชิงวิพากษ์สังคม และประเด็นการสร้างตำนานเมืองเพื่อตอกย้ำความน่ากลัวบางอย่าง มาผสมเป็นไส้ในของเปลือกนอกที่เป็นภาพยนตร์แนววิ่งไล่ฆ่า แบบที่ภาพยนตร์ในยุคนั้นยังไม่ค่อยทำกันเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อภาพยนตร์ Candyman มีภาคต่ออีกสองภาค ที่ค่อนข้างกลายเป็นหนังสยองขวัญไล่ฆ่ากันทั่วไป แล้วภาพยนตร์ชุดนี้ก็ถูกเวลากลบฝังไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งในช่วงหลายปีหลังมานี้ ทั้งผู้สร้างและผู้ชมเริ่ม สนุกกับการวิพากษ์สังคมผ่านสื่อภาพยนตร์มากขึ้น จึงเริ่มมีความคิดที่จะคืนชีพให้ภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง
แต่ในช่วงพัฒนาบทนั้นก็มีปัญหามากขึ้น รวมถึงทิศทางว่าภาพยนตร์ควรจะเป็นภาคย้อน ภาคต่อ หรือภาคใหม่ จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.2018 มีชายชื่อ จอร์แดน พีล (Jordan Peele) ที่ ณ เวลานั้นเพิ่งสร้างชื่อจากภาพยนตร์สยองขวัญ Get Out มาทำร่วมทำหน้าที่ทั้งเขียนบทและเป็นโปรดิวเซอร์ ส่วนด้านผู้กำกับนั้นได้ เนีย ดาคอสตา (Nia DaCosta) ผู้กำกับหญิงและผู้เขียนบทหนังแนวสยองขวัญหน้าใหม่ไฟแรงมาทำงาน ที่เธอก็ร่วมเขียนบทของภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ด้วย
ผลก็คือ ภาพยนตร์ Candyman ฉบับปี ค.ศ.2021 ที่ออกฉายในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.2021 จึงตั้งใจไม่พูดถึงเรื่องราวในภายพนตร์สองภาคหลัง แล้วกลายเป็นหนังสยองขวัญที่วิพากษ์สังคมแบบชัดเจนมากขึ้น, ลงลึกในประเด็น ‘ตำนานที่กลายเป็นความจริง’ มากขึ้น, มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ต้นฉบับยิ่งขึ้น และการกำกับฉากหลายฉากของเนีย ดาคอสตาก็โดดเด่นน่าจดจำ ทั้งยังได้นักแสดง Candyman คนเดิมจากสามภาคแรกมารับบทไว้ด้วย
ภาพยนตร์ฉบับยกเครื่องใหม่นี้ จึงได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์จำนวนมาก และทำรายได้ในการฉายสัปดาห์แรกค่อนข้างดี แม้ว่าตลาดภาพยนตร์ทั่วโลกจะยังไม่กลับมาอย่างเต็มตัวเพราะผู้ชมในหลายประเทศที่เปิดโรงภาพยนตร์แล้วยังหวาดหวั่นไวรัส COVID-19 สายพันธุ์เบต้าก็ตามที
Coming 2 America
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Coming To America (1988)
Coming To America เป็นเรื่องราวของเจ้าชายในประเทศสมมติจากทวีปแอฟฟริกาที่กำลังจะถูกคลุมถุงชน เขาจึงเดินทางไปอเมริกาเพื่อเข้าใจชีวิตสามัญชนและตามหารักแท้ ที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างมากในปี ค.ศ.1988 ส่วน Coming 2 America นั้นเป็นเรื่องราว 30 ปีให้หลัง จากที่เจ้าชายได้แต่งงานและขึ้นครองราชย์ และพยายามตามหาผู้ชายที่เหมาะสมกับลูกสาวทั้งสาม เพราะตามธรรมเนียมแล้วคนที่ขึ้นครองราชบัลลังก์มีแต่เจ้าชายเท่านั้น และนั่นทำให้ กษัตริย์จากแดนไกลต้องเดินทางไปอเมริกาอีกครั้ง แถมยังต้องรับมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่อาจจะรุกรานเข้ามาอีกต่างหาก
ไม่แน่ใจนักว่าที่มาที่ไปของการสร้างภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเด็นใดกันแน่ เพราะเท่าที่มีข่าวก็ระบุเพียงว่า ภาพยนตร์ภาคต่อประกาศทำการสร้างอย่างเป็นทางการในช่วงปี ค.ศ.2017 ก่อนที่จะมีการถ่ายทำในช่วงปี ค.ศ.2019 พร้อมกับรายละเอียดว่า ได้นักแสดงจากภาพยนตร์ภาคแรกมาเกือบครบถ้วน และถ่ายทำจนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ.2019 และมีกำหนดฉายตามโรงภาพยนตร์ในปี ค.ศ.2020 ก่อนจะขยับมาฉายบน Amazon Prime ในปี ค.ศ.2021 ด้วยผลพวงจากไวรัส COVID-19
ถึงตัวภาพยนตร์จะทำยอดคนดูได้สูงมากสำหรับแพลทฟอร์ม Amzon Prime และผู้ชมหลายคนก็ยังชื่นชอบทีมนักแสดงของภาพยนตร์ชุดนี้ แต่มุกหลายอย่างในเรื่องตกยุคเกินไป จนทำให้ผู้ชมหลายส่วนวิจารณ์ว่านี่คือภาคต่อที่มาช้าเกินไปถ้าหนังเรื่องนี้ฉายอยู่ในช่วงปลายยุค 1990 อาจจะพอไปรอดได้มากกว่านี้
Top Gun: Maverick
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Top Gun (1989)
Top Gun ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับนักบินเครื่องบินรบที่ถูกจดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่ง อาจเป็นเพราะนักแสดงในเรื่องแทบทุกคนมีเสน่ห์, ฉากการต่อสู้แบบด็อกไฟท์ที่ดูโม้แต่ก็มัน และเป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องของยุคนั้นที่ได้ภาพเครื่องบินจากทางกองทัพมาใช้งานจริง จึงได้ภาพที่ดูสมจริงสำหรับยุค และแน่นอนว่ามันเป็นหนังที่ทำให้หลายคนจดจำ ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในฐานะดาราสายหนังแอ็กชั่น ก่อนที่เขาจะแสดงผาดโผนมากขึ้นเรื่อยๆ ในภายหลัง
เดิมที Top Gun ตั้งใจจะสร้างภาคต่อหลังจากหนังภาคแรกทำรายได้อย่างมหาศาล แต่แผนงานแรกก็ถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็วเพราะการจะขอให้กองทัพอากาศอเมริกานำเอาเครื่องบินมาโชว์ผ่านสื่ออีกไม่ใช่เรื่องง่าย จนเวลาผ่านเข้ามาสู่ช่วงปี ค.ศ.2010 ทาง เจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างหนังภาคแรกก็ตั้งใจจะสร้างหนังภาคต่อให้เกี่ยวข้องกับนักบินเครื่องบินรบในโลกยุคปัจจุบันมากขึ้น
ข่าวคราวการสร้างภาพยนตร์หายไประยะหนึ่งเมื่อ โทนี สก็อตต์ (Tony Scott) ผู้กำกับภาพยนตร์ภาคแรกเสียชีวิตในปี ค.ศ.2014 และมีเพียงข่าวยืนยันภายหลังว่าแผนการสร้างภาคต่อยังคงเดินหน้าต่อไป จนในช่วงปี ค.ศ.2017 ที่มีการประกาศข่าวว่าภาพยนตร์ภาคต่อจะใช้ชื่อ Top Gun: Maverick และได้ โจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski) มาทำหน้าที่ผู้กำกับ ส่วนตัวทอม ครูซก็ร่วมเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ด้วย
ผลจากการที่ทอม ครูซเป็นอำนวยการสร้างด้วยทำให้เขามีส่วนในภาพยนตร์ภาคต่อมากขึ้น ทั้งการผลักดันให้ วัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) กลับมารับบทเก่าของตัวเองในภาพยนตร์ภาคต่อ, การที่ตัวทอม ครูซ ขึ้นขับเครื่องบินหลายลำในเรื่องด้วยตัวเองเพื่อให้ได้มุมกล้องที่ดีทั้งจากภายนอกและภายในห้องนักบิน (ยกเว้นเครื่อง F-18 ที่กองทัพเรืออเมริการะบุว่าไม่สามารถให้พลเรือนขึ้นขับได้)
ภาพยนตร์เดิมทีมีกำหนดฉายในปี ค.ศ.2019 ก่อนจะเลื่อนมายังปี ค.ศ.2020 และขยับไปปี ค.ศ.2022 อันเป็นผลพวงจากไวรัส COVID-19 (อีกแล้ว) แต่จากการฉายตัวอย่าง 13 นาทีแรกของภาพยนตร์ในงาน CinemaCon ประจำปี ค.ศ.2021 ที่เปิดตัวด้วยฉากชวนนึกถึงภาคแรกแต่ก็มีปมของนักบินยุคปัจจุบันที่ต้องวัดฝีมือกับโดรนที่ถูกใช้งานเป็นอาวุธหลัก น่าจะทำให้คนชอบหนังเครื่องบินรบได้ตื่นตาตื่นใจในโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง
The Many Saints Of Newark
ผลงานดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: The Sopranos (1999 – 2007)
ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะมาแปลกเสียหน่อย เพราะเป็นผลงานภาพยนตร์ที่มีภาคต้นเป็นซีรีส์คนแสดง The Sopranos ที่เล่าเรื่องของ Tony Soprano ชายชาวอเมริกาเชื้อสายอิตาลีที่มีภาวะตื่นตระหนกจนต้องทำการบำบัดกับแพทย์ ก่อนจะค่อยๆ เปิดเผยว่าตัวเขาพยายามรักษาสมดุลระหว่างชีวิตครอบครัวปกติ กับชีวิตครอบครัวมาเฟียเอาไว้
ส่วนตัวภาพยนตร์นั้นจะเป็นเรื่องราวสมัยที่ Tony Sopranos ยังเป็นเด็กหนุ่มในยุคสมัยที่เมืองนวร์กที่แบ่งแยกเป็นก๊กตามชาติพันธ์ จนกระทั่งเขาได้ตามรอย Dickie Moltisanti ลุงที่เป็นมาเฟียในเมือง ที่กลายเป็นคนสอนสั่งวิชาจนเขากลายเป็นเจ้าพ่อในภายหลัง
ภาพยนตร์นี้เป็นตัวเป็นตนในขั้นแรก หลังจากที่ เดวิด เชส (David Chase) ผู้สร้างซีรีส์ชุดเดิมออกมาให้ความเห็นว่าเขาสนใจจะทำภาคย้อนของซีรีส์มากกว่าที่จะทำเรื่องราวต่อจนกระทั่งทาง New Line Cinema กับ HBO Films ประกาศยืนยันการสร้างภาพยนตร์ภาคต้นในปี ค.ศ.2018 แม้ว่าตัวละครโดยส่วนมากจะเป็นตัวละครเดียวกันกับภาคซีรีส์ แต่เปลี่ยนตัวนักแสดงเกือบทั้งหมดเพราะทุกตัวละครเป็นวัยหนุ่มสาวขึ้น
และตัวละคร Anthony Sopranos จะได้ ไมเคิล แกนโดลฟินี (Michael Gandolfini) ลูกชายของ เจมส์ แกนโดลฟินี (James Gandolfini) ผู้ล่วงลับ และเป็นเจ้าของบทตัวละครเดียวกันในฉบับซีรีส์อีกด้วย
ภาพยนตร์ปล่อยตัวอย่างในงาน CinemaCon ประจำปี ค.ศ.2021 และได้รับความคาดหวังว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่น่าจะเดือดดาลเข้มข้นไม่แพ้กับซีรีส์ต้นฉบับ รวมไปถึงว่า เดวิด เชสยังเกริ่นไว้ในงานดังกล่าวว่า อาจจะมีภาพยนตร์ภาคต่อจากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
หรือถ้าบอกว่านี่เป็นการลวงคนดูหน้าใหม่ให้มาตกหลุมมาเฟียตระกูล The Sopranos เพื่อไล่ดูทั้งหนังทั้งซีรีส์ไปยาวๆ ก็เป็นได้
Space Jam: A New Legacy
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Space Jam (1996)
Space Jam เป็นภาพยนตร์ที่เอาดาราบาสเก็ตบอลระดับตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) ไปร่วมเล่นบาสเกตบอลกับเหล่าการ์ตูนจากโลก Looney Tunes ซึ่งกวาดรายได้จากคนดูหนังยุคนั้นไปอย่างถล่มทลาย จึงไม่แปลกที่ค่ายหนังจะอยากทำภาคต่อให้กันแทบจะทันที แต่การที่หนังภาคต่อจะไปไหวก็ต้องมีนักแสดงนำเดิมอยู่ด้วย ซึ่ง ณ เวลานั้นไมเคิล จอร์แดนที่น่าจะยุ่งกับงานอื่นมากกว่าได้ปฏิเสธข้อเสนอในการเล่นภาคต่อไป แผนการสร้างจึงถูกเก็บลงกล่องไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทาง Warner Bros. ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ด้วยการพยายามจะปลุกผีหนังชุดนี้ขึ้นมาด้วยการปรับกีฬาบ้าง ปรับนักแสดงนำบ้าง แต่กว่าจะลงเอยได้สร้าง ก็เข้าสู่ช่วงปี ค.ศ.2014 ที่ เลอบรอน เจมส์ (LeBron James) นักบาสเกตบอลฝีมือดีของยุคปัจจุบันแสดงความสนใจที่จะแสดงนำ แต่ตัวหนังจะเป็นภาคต่อที่ไม่อ้างอิงถึงเรื่งราวภาคก่อนแต่อย่างใด
สุดท้ายหนังถ่ายทำในช่วงปี ค.ศ.2019 และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ฝั่งอเมริกาช่วงเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.2021 พร้อมฉายในแพลตฟอร์ม HBO Max ซึ่งถ้าดูจากรายได้ ตัวหนังทำไปได้ไม่มากนัก แต่ตัว มัลคอล์ม ดี. ลี (Malcolm D. Lee) ผู้กำกับภาพยนตร์ Space Jam: A New Legacy เคยให้สัมภาษณ์ว่า ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการรับบทนำในหนังภาคต่อไป
ก็คงต้องติดตามกันต่อว่าเหล่า Looney Tunes จะได้ไปดวลเดือดบนสังเวียนมวยปล้ำจริงหรือไม่
Scream
ภาพยนตร์ดั้งเดิมภาคก่อนหน้า: Scream 4 (2011)
หน้ากากหวีดสยองกลายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของฆาตกรมือมีดที่ไล่ตามล่าเหยื่อในมืองวู้ดส์โบโร่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 และฆาตกรหลายคนก็ยังใช้หน้ากากผีนั้นในการก่อเหตุครั้งต่อๆ ไป รวมถึงในภาพยนตร์ภาคที่ 5 ที่มีกำหนดฉายในช่วงปี ค.ศ.2022 ด้วย
ถึงเรื่องราวจะดูอ่อนลงตามจำนวน แต่รายได้ของหนังก็ยังดีมากพอที่ค่ายหนังจะให้สร้างภาคต่อ กระนั้นในช่วงปี ค.ศ.2011 ตัว เวส เครเวน (Wes Craven) ผู้สร้างและผู้กำกับของหนังชุดนี้ ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ถ้าจะทำภาคต่อก็ต้องทำบทให้เรียบร้อยดีเสียก่อน (เพราะในภาคหลังๆ บทภาพยนตร์แทบจะเขียนสดกันรายวัน) และทำให้การสร้างหนังภาคต่อโดนเว้นช่วงไปนาน และเกือบจะไม่มีหวังในการทำภาคต่อเพราะเวส เครเวนเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.2015
จนกระทั่งในปี ค.ศ.2019 ก็มีข่าวว่าภาพยนตร์จะกลับมาสร้างอีกครั้ง และมีการยืนยันในปี ค.ศ.2020 ว่า Scream ภาคใหม่จะได้ แมตต์ เบตติเนลลี-โอลพิน (Matt Bettinelli-Olpin) และ ไทเลอร์ กิลเล็ตต์ (Tyler Gillett) คู่ผู้กำกับจาก หนัง Ready Or Not ส่วนนักเขียนคู่บุญของภาพยนตร์อย่าง เควิน วิลเลียมสัน (Kevin Williamson) ขยับไปนั่งเป็นผู้อำนวยการสร้างบริการ และตัวหนังภาคใหม่จะมีนักแสดงชุดเดิม อย่าง เนฟ แคมป์เบิล (Neve Campbell), เดวิด อาร์เคว็ตต์ (David Arquette), คอร์ที่ย์ ค็อกซ์ (Courteney Cox) และ โรเจอร์ แอล แจ็กสัน (Roger L. Jackson) ผู้พากย์เสียงฆาตกรหน้ากากผี มาร่วมแสดงกับทีมนักแสดงใหม่
สังเกตได้ว่าชื่อภาพยนตร์ภาคใหม่ใช้ชื่อง่ายๆ ว่า Scream และเนื่องจาก ณ ช่วงที่เขียนบทความนี้ยังไม่มีการประกาศเรื่องย่อทางการ จึงมีการคาดการณ์ว่าตัวภาพยนตร์อาจจะเป็นทั้งภาคต่อและการผลักดันให้กลุ่มตัวละครใหม่ต้องมารับมือกับฆาตกรคนใหม่ต่อไป
คาดว่าหนังจะยังคงเล่นมุกตลกร้ายที่เกี่ยวข้องกับหนังสยองขวัญไล่ฆ่าคนเรื่องอื่น กับการตามสืบหาว่าใครควรจะเป็นคนร้ายที่น่าลุ้นแบบเดียวกับที่เคยทำไว้ได้ในภาคแรกๆ รวมไปถึงว่าหนังมีกำหนดสร้างภาคต่อไว้โดยคร่าวแล้วอีกด้วย แต่โดยขั้นต้นต้องรอติดตาม Scream ภาคต่อในช่วงเดือนมกราคม ปี ค.ศ.2022
อ้างอิงข้อมูลจาก
- Digital Spy
- JediYuth 1, 2
- Den Of Geek
- The Wrap
- DeadLine
- USA Today 1, 2, 3
- US Magazine 1, 2
- Variety
- ScreenRant 1, 2, 3, 4
- Insider
- YouTube: BuzzFeed Unsolved Network – The True Story Behind Candyman
- Hollywood Reporter
- IGN
- Indie Wire
- Bloomberg
- Collider
- Entertainment Weekly